เข้าสู่ระบบ

Table of Contents
Recent Post
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จัก ปัญหาทางเท้าที่คนไทยต้องเจอ ทั้งฟุตบาทไม่ทนทาน รถจักรยานยนต์ ร้านค้าบนทางเท้า การออกแบบที่ไม่คิดถึงผู้พิการและผู้สูงอายุ มาสร้างทางเท้าให้ดี เพื่อชีวิตที่ดีกัน!

ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข
ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักปัญหาว่างงานในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจส่งผลกระทบในวงกว้าง ควรมีทางออกเพื่อเสริมพลังและสร้างโอกาสใหม่ให้คนไทยกลับมายืนหยัดและมีชีวิตที่ดีได้อย่างเข้มแข็ง

Key Takeaway นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คือโครงการจากรัฐบาลที่กำหนดให้ประชาชนเดินทางในเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการได้ในราคาเดียวเพียง 20 บาทตลอดสาย เป้าหมายของโครงการคือสร้างความเท่าเทียม ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสให้คนเมืองทุกกลุ่มเข้าถึงการเดินทางอย่างสะดวก ลดปัญหารถติดและมลพิษ ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาชุมชนเมือง โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของรัฐบาล กรุงเทพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการผลักดันจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่มีวิสัยทัศน์ด้านระบบขนส่งมวลชน เชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้าในราคาคงที่ ช่วยให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ความท้าทายของนโยบายนี้ คือความยั่งยืนทางการเงิน ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลชดเชยผู้ประกอบการ และปัญหาการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า ทุกวันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าทีก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เพราะค่าโดยสารที่สะสมไปแต่ละวันไม่ใช่น้อยๆ เลย แต่ลองคิดดูว่า… ถ้าเราเดินทางไกลแค่ไหนก็จ่ายเพียง 20 บาท จะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากขนาดไหน? ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ! บทความนี้พามาเจาะลึกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน เรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งพนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือแม่ค้าพ่อค้า ที่ต้องใช้รถไฟฟ้าเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางทุกวันแน่นอน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คืออะไร? โครงการค่าโดยสาร 20 บาท คือความตั้งใจง่ายๆ ที่อยากให้การเดินทางสาธารณะเป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน พนักงาน หรือผู้สูงอายุ เรื่องนี้เริ่มต้นจากคำถามว่า “ทำไมคนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงหลายระดับ บางทีแค่ไปทำงานหรือไปเรียนใกล้ๆ ก็ต้องจ่ายราคาเต็ม?” แนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวจึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยลดภาระและทำให้ทุกคนได้รับสิทธิ์เดินทางในราคาเท่ากัน ในปี 2567 ได้เริ่มทำโครงการนำร่องในสายสีแดงและสายสีม่วงแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากเลย ส่วนเรื่องการหาเงินมาจ่ายนั้น รัฐบาลไม่ได้แค่รับภาระทั้งหมดเอง แต่มีการแบ่งงบและจัดสรรเงินมาใช้ชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ให้บริการยังสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ขาดทุน กลไกนี้ช่วยให้ความมั่นคงในการเดินรถยังดำเนินไปได้ โดยรัฐจะพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการจริงและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนเป็นธรรมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจว่าจะทำให้คมนาคมสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเดินทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวที่คนทุกวัยทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ทำไมนโยบายนี้ถึงสำคัญกับคนเมือง? ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทุกวัน การเดินทางในเมืองใหญ่จึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน การมีนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองและหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาได้จริง ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายวันได้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนและคนที่ต้องเดินทางประจำ การกำหนดราคาเดียวช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทางไกล เพิ่มโอกาสในการเดินทางและใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายยังช่วยกระตุ้นให้เกิดชุมชนและธุรกิจใหม่ในเขตชานเมือง เพิ่มความสะดวกและคุณภาพชีวิตในเมืองอย่างยั่งยืน ลดปัญหารถติดและมลพิษ นโยบายนี้ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เมื่อประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ปริมาณรถติดก็ลดลงตามไปด้วย ช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การใช้รถไฟฟ้ายังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ที่สำคัญคือทำให้เมืองน่าอยู่ สะอาด และเดินทางได้คล่องตัวมากขึ้นสำหรับทุกคน สร้างเมืองที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน นโยบายนี้ไม่ได้แค่ทำให้ค่าโดยสารถูกลงเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย นักเรียน หรือผู้สูงอายุ ช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมและเป็นธรรม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทาง และทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นคนทุกกลุ่ม เป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของคนในเมืองใหญ่ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน พร้อมส่งเสริมให้คนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น สร้างความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว ความเท่าเทียมในการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเดินทาง เพราะไม่ว่าคนจะขึ้นรถไฟฟ้ากี่สายหรือต้องเดินทางไกลเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็จ่ายค่าโดยสารราคาเดียว ทำให้ทุกคนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือรัฐบาลช่วยชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ เพื่อรักษาคุณภาพบริการและทำให้นโยบายนี้ดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ นโยบายนี้ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพราะราคาค่าโดยสารที่ถูกลงทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่าย ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลยังร่วมมือกับกรุงเทพฯ ในการพัฒนาระบบตั๋วร่วมและฟีดเดอร์ระบบขนส่ง เช่น รถเมล์ที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการใช้งานระบบได้ครบวงจรขึ้น แก้ปัญหารถติด นโยบายนี้เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้ เมื่อค่าโดยสารถูกลง ผู้คนจะหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่วิ่งบนถนนในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร ยังช่วยลดเวลาการเดินทางและความเครียดของผู้ใช้ถนนด้วย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบขนส่งของเมือง ทำให้การเดินทางสะดวกและราบรื่นขึ้นโดยรวมในระยะยาว เชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมือง นโยบายนี้เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจและชุมชนเมืองเติบโตเป็นระบบ การลดค่าเดินทางช่วยเพิ่มกำลังซื้อและโอกาสทางธุรกิจในชุมชนต่างๆ เนื่องจากผู้คนสามารถเดินทางเข้า - ออกเมืองได้สะดวกและบ่อยขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าหลายสายยังช่วยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้ารวดเร็ว ทำให้ชุมชนต่างๆ มีโอกาสพัฒนาไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เบื้องหลังการผลักดันนโยบาย โครงการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพฯ พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่วางแนวนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ในขณะที่กรุงเทพฯ นำโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผลักดันให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น นโยบายรถไฟฟ้ากับชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นหัวใจของชีวิตคนเมือง ร่วมกับการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและมลพิษ พร้อมผลักดันให้โครงการได้ผลจริงในเชิงปฏิบัติ เช่น การเชื่อมโยงเส้นทางและเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคสังคมมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามผล ทำให้นโยบายนี้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองจริงๆ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท… ความท้าทายและคำถามที่ยังคงอยู่ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แม้จะได้รับการตอบรับอย่างดีและช่วยลดภาระค่าโดยสารของประชาชน แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนทางการเงินหลักๆ เพราะรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ แต่จากการศึกษาพบว่า… ต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายหลักอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อเที่ยว ทำให้นโยบายนี้เป็นไปได้ถ้าบริหารจัดการดีและมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่มั่นคง เช่น การใช้รายได้ภาษีจากภาคขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า โดยเฉพาะสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้และผลประโยชน์ของภาคเอกชน ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนและการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล ปัญหานี้ยังเป็นอุปสรรคที่ต้องเจรจาและหาข้อตกลงร่วมที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทางเลือกและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนานโยบายในอนาคต ได้แก่ การผลักดันกฎหมายตั๋วร่วมเพื่อให้ใช้บริการได้ด้วยบัตรเดียวทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทให้เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความมั่นคงและเข้าถึงได้ง่ายในระยะยาว สรุป นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคนเมือง ทำให้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ช่วยเชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมแก้ไขปัญหารถติดและมลพิษ เพิ่มคุณภาพชีวิตคนเมืองอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกรุงเทพฯ และภาคประชาสังคม ซึ่งบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมและติดตามนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง FAQ – คำถามที่พบบ่อย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทครอบคลุมทุกสายไหม? โครงการนี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) สายสีน้ำเงิน (MRT) สายสีเหลือง สายสีชมพู และ Airport Rail Link (ARL) รวมรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงที่ทำไปแล้วทั้งหมด 8 สาย รวม 13 เส้นทางและกว่า 194 สถานีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางในราคาคงที่เพียง 20 บาทตลอดสาย แม้ต้องเปลี่ยนสายก็จะไม่เกินราคานี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งผลต่อปัญหารถติดในกรุงเทพฯ อย่างไร? นโยบายนี้ช่วยลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เพราะราคาค่าโดยสารถูกลง คุณภาพชีวิตและการเดินทางจึงดีขึ้น ลดความหนาแน่นของการจราจรในช่วงเร่งด่วนได้ ประชาชนมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายนี้ได้อย่างไร? ประชาชนสามารถร่วมลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ และใช้บัตร EMV Contactless หรือบัตร Rabbit แบบ ABT เพื่อยืนยันตัวตน ร่วมกันใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการของระบบขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้นต่อไป
อนาคตเข้าถึงได้! นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท โครงการเปลี่ยนชีวิตคนเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามาเจาะลึกกับนโยบายรถไฟฟ้า20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน

ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน
ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักจากเสียงประชาชนสู่การแก้ไขจริง! Traffy Fondue คือระบบร้องเรียนของ กทม. นำเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวกรุงให้ดีขึ้น

ทำความรู้จัก นักพัฒนาสังคม คือใคร มีหน้าที่อะไรเพื่อสังคม

CHEEWID พาทำความรู้จักกับนักพัฒนาสังคม อาชีพดีๆ เพื่อสังคม พวกเขาคือใคร มีหน้าที่อะไรเพื่อสังคม แล้วถ้าหากใครที่กำลังสนใจอยากเป็นนักพัฒนาสังคมต้องเรียนอะไรบ้าง มาไขข้อข้องใจพร้อมกันได้ในบทความนี้
Cheewit-May1-banner
Table of Contents

หากจะพูดถึงอาชีพที่เปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ ทั้งยังมีความตั้งใจจริงในการพัฒนาสังคม หนึ่งในอาชีพที่ต้องขอแนะนำให้ทำความรู้จักเลยคือนักพัฒนาสังคม ซึ่งเป็นอาชีพดีๆ ที่มีบทบาทเพื่อสังคม แต่แสงกลับส่องไปไม่ถึง และมีคนส่วนน้อยมากที่รู้จักอาชีพนี้ 

นักพัฒนาสังคม คือใคร

นักพัฒนาสังคม คือใคร

นักพัฒนาสังคม คืออาชีพที่ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส และผู้มีความทุกข์ในสังคม เป็นการทำงานผ่านองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และเป็นอาชีพที่เริ่มต้นด้วยความสมัครใจในการทำงานด้านจิตอาสาเป็นหลัก เหมาะกับผู้ที่ต้องการช่วยเหลือ เปลี่ยนแปลง และพัฒนาสังคม 

 

อาชีพนักพัฒนาสังคมมีหน้าที่หลักๆ คือการนำความรู้ ความสามารถ และจิตใจที่หนักแน่น มาเริ่มต้นโครงการช่วยเหลือสังคมได้อย่างตรงจุด พร้อมให้การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ที่มีปัญหา หรือดูแลเคสปัญหาใหญ่ๆ อย่างต่อเนื่องที่เป็นอีกหนึ่งโครงการขององค์กรด้วยเช่นกัน 

ไขข้อสงสัย นักพัฒนาสังคม กับนักพัฒนาชุมชน ต่างกันอย่างไร

นักพัฒนาสังคมมีหน้าที่หลักๆ คือการเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ด้อยโอกาส ผู้ยากไร้ และผู้ที่มีปัญหาความทุกข์ในด้านต่างๆ เพื่อเข้าช่วยเหลือโดยตรง ด้วยการสนับสนุนปัจจัย การแก้ไข หรือการจัดตั้งศูนย์บรรเทาทุกข์ 

ส่วนนักพัฒนาชุมชนมีหน้าที่สร้างกิจกรรมต่างๆ ให้ชุมชนที่มีปัญหา เพื่อส่งเสริมให้คนในชุมชนมีส่วนร่วมในการใช้ชีวิต และการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้น จุดประสงค์ของการเข้าช่วยเหลือแก้ไขปัญหาสังคมของนักพัฒนาสังคมกับนักพัฒนาชุมชนมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน รวมถึงมีวิธีการดำเนินงานที่ต่างกันด้วยเช่นกัน

หน้าที่ของนักพัฒนาสังคม ต้องทำอะไรบ้าง

นักพัฒนาสังคมมีหน้าที่ในการดูแลช่วยเหลือกลุ่มผู้มีปัญหาทางสังคม โดยมีการเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเข้าช่วยเหลืออย่างตรงจุด ซึ่งอำนาจในการดำเนินงานที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของนักพัฒนาสังคมปฏิบัติการมีดังนี้

  • จัดทำโครงการ เพื่อสวัสดิการของกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือ เพื่อระดมทุน หรือหาผู้สนับสนุน ซึ่งเป็นสวัสดิการหลักขององค์กร เพื่อผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาสอย่างชัดเจน
  • การให้ความคุ้มครองกลุ่มเป้าหมายที่มีปัญหาทางสังคม ในกรณีที่ต้องมีการดูแลต่อเนื่องระยะยาว
  • เข้าตรวจสอบกลุ่มผู้มีปัญหาทางสังคม ลงพื้นที่ จัดเก็บข้อมูลเพื่อมาดำเนินโครงงาน และเริ่มต้นแผนงานด้านการพัฒนาสังคม
  • เป็นผู้ประสานงานหลักของทั้งองค์กร หน่วยงาน และภาคประชาชนโดยตรง
  • ดำเนินโครงการตามพระราชประสงค์ และโครงการอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายมาจากฝ่ายรัฐบาล ฯลฯ
  • บริหารจัดการทรัพยากรด้านสวัสดิการทางสังคม

 

งานนักพัฒนาสังคม มีกี่ประเภท อะไรบ้าง

งานนักพัฒนาสังคม มีกี่ประเภท อะไรบ้าง

เพราะสังคมไม่ได้มีแค่กลุ่มก้อนเดียว แต่หมายถึงผู้คนหลายๆ คน หลายๆ กลุ่มก้อนเข้ามารวมกัน ทำให้มีปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นได้หลากหลาย ดังนั้น นักพัฒนาสังคมจึงต้องรับหน้าที่ในการช่วยพัฒนาสังคมในหลายๆ ด้าน ซึ่งจะมีการทำงานเกี่ยวกับด้านใดบ้าง ไปดูกัน

งานบริหารและการจัดการ

งานด้านการบริการ และการจัดการ จะมีบทบาทเป็นผู้นำที่ต้องเริ่มต้นโครงการ ดูแลสวัสดิการความเรียบร้อยของทรัพยากรให้เพียงพอต่อโครงการช่วยเหลือสังคมต่างๆ และเป็นฝ่ายที่ต้องเข้าติดต่อประสานงานหลักระหว่างทุกภาคส่วน ทั้งการติดต่อกับทางองค์กรเอกชน หน่วยงานรัฐ และภาคส่วนประชาชน เพื่อการดำเนินงานอย่างมีแบบแผน ซึ่งฝ่ายนี้ต้องมีการจัดการแผนงาน และความรู้เกี่ยวกับนโยบายทางสังคม การให้บริการทางสังคมกับทุกภาคส่วนด้วยเช่นกัน เพื่อให้องค์กรของนักพัฒนาสังคมสามารถดำเนินงานต่อเนื่องในอนาคตได้สะดวกมากขึ้น 

งานจัดระเบียบชุมชน

หน้าที่ด้านการจัดระเบียบชุมชน จะเป็นการจัดการสร้างความเท่าเทียมด้านโอกาสทางสังคมให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการติดต่อประสานงาน และสนับสนุนระหว่างองค์กรนักพัฒนาสังคม ฝ่ายภาคส่วนองค์กรต่างๆ รวมถึงฝ่ายประชาชนด้วยเช่นกัน

งานพัฒนาสังคมผู้สูงอายุ

นักพัฒนาสังคมที่รับผิดชอบในส่วนงานของการพัฒนาสังคมผู้สูงอายุ จะเข้าช่วยเหลือด้านการดูแลผู้สูงอายุที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ หรือผู้ที่ขาดที่พึ่งพิง ให้ได้มีการใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่เหมาะสมทั้งด้านร่างกาย ความเป็นอยู่ และสภาพจิตใจ 

งานพัฒนาสวัสดิการเด็ก

นักพัฒนาสังคมที่ดูแลด้านงานพัฒนาสวัสดิการเด็ก จะมีหน้าที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเด็กมีปัญหาด้านต่างๆ ตั้งแต่เด็กมีปัญหาครอบครัว ขาดโอกาสการเลี้ยงดูให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ขาดการสนับสนุนให้เข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมถึงเคสความรุนแรงอื่นๆ ที่ทางหน่วยงานด้านการพัฒนาสังคมต้องเข้าไปช่วยเหลือ

งานพัฒนาสวัสดิการผู้พิการ

นักสังคมสงเคราะห์ที่ดูแลงานสวัสดิการด้านผู้พิการ จะช่วยดูแลในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานทางสังคมที่ควรจะได้รับ เพื่อการใช้ชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น และสนับสนุนการเข้าถึงสิทธิ์ด้านอื่นๆ ให้กับผู้พิการทุกเพศ ทุกวัย รวมถึงการสนับสนุนการพัฒนาสังคมผู้พิการ ให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้มากที่สุด

งานพัฒนาสวัสดิการด้านสุขภาพ

นักพัฒนาสังคมที่ดูแลงานด้านสุขภาพโดยตรง จะเป็นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทางสังคม ที่มีปัญหาสุขภาพ และไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ รวมถึงกลุ่มผู้ป่วยที่ขาดการรับสิทธิ์ในการรักษา ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานทางสังคม เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ สามารถได้รับการรักษาได้อย่างเหมาะสม

งานพัฒนาระหว่างประเทศ

หน้าที่ของนักพัฒนาสังคมในด้านงานพัฒนาระหว่างประเทศ เป็นการให้บริการช่วยเหลือกลุ่มผู้ลี้ภัย การสนับสนุนการช่วยเหลือของรัฐบาลแห่งชาติ ที่ต้องมีการประสานงาน และดำเนินการผ่านองค์กรของภาครัฐแต่ละประเทศ เพื่อรับการช่วยเหลือ และการสนับสนุนสวัสดิการในการใช้ปรับปรุงปัญหาทางสังคมให้ดีมากขึ้น 

งานพัฒนาด้านความยุติธรรม

นักพัฒนาสังคมที่ดูแลงานด้านความยุติธรรม จะดูแลให้บริการเกี่ยวกับด้านกฎหมายความเท่าเทียม และใช้กฎหมายในการเข้าแทรกแซงกลุ่มที่มีปัญหาทางสังคมที่รุนแรงมากๆ ได้ตามกระบวนการที่ถูกต้อง

งานพัฒนาด้านสุขภาพจิต

นักพัฒนาสังคมด้านงานสุขภาพจิต จะเข้าให้การช่วยเหลือบำบัดสุขภาพจิตใจโดยผู้ชำนาญตรงสาย ทั้งในเขตตัวเมือง และเขตชนบท เข้าถึงกลุ่มผู้มีปัญหาทางด้านจิตใจ อาการซึมเศร้า เพื่อการรักษาอย่างต่อเนื่อง 

งานพัฒนาด้านสุขภาพจิต และการใช้สารเสพติด

นักพัฒนาสังคมด้านสุขภาพจิต และการใช้สารเสพติด จะมีหน้าที่เพิ่มเติมจากงานพัฒนาด้านสุขภาพจิตโดยตรง คืองานในส่วนการเข้าช่วยเหลือฟื้นฟูกลุ่มผู้ติดสารเสพติด ให้การเข้าบำบัดรักษาทั้งด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการติดสุรา ยาเสพติด การใช้สารเสพติดทุกประเภทในทุกกลุ่ม และทุกวัย

งานพัฒนาด้านความเป็นอยู่ของลูกจ้าง

นักพัฒนาสังคมที่ดูแลด้านความเป็นอยู่ของลูกจ้างจะจัดหางาน และอาชีพมาส่งเสริมช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทำมาหากิน ให้มีอาชีพในการดำรงชีวิตของตัวเองได้อย่างถูกกฎหมาย และตรงแบบแผนปฏิบัติงาน 

งานพัฒนาด้านประชาสงเคราะห์

นักพัฒนาสังคมด้านประชาสงเคราะห์จะเป็นฝ่ายที่ศึกษาขอบเขตของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนำมาวิเคราะห์ พัฒนา ปรับปรุงแผนการดำเนินงานต่างๆ ให้ตรงกับนโยบาย และเสนอแนวทางปฏิบัติงานให้กับฝ่ายปฏิบัติการ 

งานสังคมสงเคราะห์ในโรงเรียน

งานสังคมสงเคราะห์ในโรงเรียนจะดูแลเกี่ยวกับขอบเขตกิจกรรมการพัฒนาสังคมภายในโรงเรียน เช่น การจัดกลุ่มกรรมการนักเรียน การจัดตั้งชมรมต่างๆ เพื่อให้สังคมภายในโรงเรียนมีความก้าวหน้า และมีคุณภาพมากขึ้น ทั้งยังส่งเสริมความเป็นผู้นำภายในกลุ่มเป้าหมายตามธรรมชาติของช่วงวัยอีกด้วย

งานด้านนโยบายและการวางแผน

นักพัฒนาสังคมด้านงานนโยบาย และการวางแผน จะจัดการดูแลด้านการวางแผนงานต่างๆ ทั้งการจัดตั้งโครงการ การบริหารทรัพยากรสวัสดิการสาธารณะ การฝึกอบรมพนักงานองค์กรให้เข้าช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายทางสังคมได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการดูแลด้านการประเมินมาตรฐานงานแต่ละโครงการด้วยเช่นกัน 

งานด้านการเมือง

นักพัฒนาสังคมด้านการเมือง จะดูแลเกี่ยวกับการประสานงานไปยังภาครัฐ และดำเนินการตามกฎหมาย แบบแผน ขั้นตอนต่างๆ รวมถึงจุดประสงค์ในการเข้าจัดตั้งโครงการเพื่อสังคมให้สอดคล้องกับแนวทางโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ

ได้อะไรจากการเป็นนักพัฒนาสังคม

ได้อะไรจากการเป็นนักพัฒนาสังคม

สิ่งที่นักพัฒนาสังคมจะได้รับจากการดำเนินเส้นทาง หน้าที่ของสายงานด้านองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร มีดังนี้

สร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน

การสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในส่วนของงานนักพัฒนาสังคมนั้น จะเป็นการเข้าช่วยเหลือ และแก้ไขกลุ่มปัญหานั้นๆ โดยตรงทันที ด้วยการสนับสนุนปัจจัยที่ต้องการไปยังเป้าหมายโดยตรง ทำให้จัดการปัญหาหลักออกไปได้ในทันที ไม่ต้องให้กลุ่มผู้มีปัญหานั้นต้องดำเนินการจัดการใดๆ เพื่อแสวงหาความยั่งยืนตามแนวทางของตัวเองอีกในภายหลัง

มีความสุขจากการทำงาน

เรียกได้ว่าความสุขจากการทำงานสำหรับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร หรือกับนักพัฒนาสังคมนั้น จะเป็นเหมือนการเติมเต็มความต้องการที่ได้มอบความสุข และความสำเร็จจากเป้าหมายเล็กๆ ให้กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเป็นรูปธรรมนั่นเอง

ได้ทักษะการทำงานที่หลากหลาย

ได้รับทักษะ ประสบการณ์ และการประยุกต์ใช้ความสามารถด้านต่างๆ ได้อย่างหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านการติดต่อสื่อสาร การประสานงาน และการเริ่มต้นแผนปฏิบัติงานต่างๆ ให้สอดคล้องกับนโยบาย และแนวทางทั้งหมด และทักษะการเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ ลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบปัญหา หรือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือในด้านต่างๆ 

เป็นการลงทุนที่ดี เพื่ออนาคต

การให้ความช่วยเหลือสังคมที่ขาดโอกาสนั้น เป็นการลงทุนที่ดีสำหรับนักพัฒนาสังคม โดยเฉพาะเรื่องของการมีคอนเนคชั่นที่ดี การแลกเปลี่ยนโอกาสต่างๆ กับทุกภาคส่วน รวมถึงการได้รับทักษะความสามารถในเรื่องการดูแลสุขภาพ และการเข้าใจในบริบททางสังคม หรือโอกาสทางสังคม และอุตสาหกรรมมากขึ้นจากการติดต่อประสานงาน และการดำเนินงานต่างๆ ในการทำงานตรงนี้ 

สร้างโอกาสมากกว่างานนั่งโต๊ะ 

การลงพื้นที่เพื่อการเข้าช่วยเหลือสังคม เพิ่มโอกาสในการได้รับสิ่งตอบแทนจากองค์กร หรือโอกาสที่เป็นปัจจัยภายนอกเข้ามาได้ตลอดเวลา และยังได้มองเห็นถึงปัญหา แนวทางการแก้ไข พร้อมวิธีการปฏิบัติต่างๆ เพื่อการรับมืออย่างถูกวิธี

อยากเป็นนักพัฒนาสังคม ต้องเรียนอะไร

อยากเป็นนักพัฒนาสังคม ต้องเรียนอะไร

การเป็นนักพัฒนาสังคมนั้น ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เฉพาะตำแหน่งนักพัฒนาสังคม ดังนั้น การเรียนให้ตรงสายหลักๆ จะเป็นสาขาอาชีพเกี่ยวข้องโดยตรง ดังนี้

  • ด้านสังคมศาสตร์ สาขาที่เกี่ยวข้องกับด้านสังคม สังคมสงเคราะห์ หรือชุมชนโดยตรง
  • ด้านมนุษยศาสตร์ สาขาที่เกี่ยวข้องกับด้านภาษา จิตวิทยา  ฯลฯ
  • การศึกษาที่เกี่ยวกับนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์
  • การศึกษาภาคสาขาวิชาที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม หรือเฉพาะด้าน

สาขาข้างต้นนี้ ก็เป็นตัวอย่างแนวทางสู่ความรู้เฉพาะด้านสังคม สำหรับผู้ที่จบสาขาอื่นๆ มา แล้วสนใจทำงานเป็นนักพัฒนาสังคม ก็สามารถฝึกฝน ศึกษา และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการเข้ามาทำงานด้านนี้ได้ เพียงแค่ต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจและความสนใจที่พร้อมในการทำงานดังกล่าวนั่นเอง

 

สรุป

นักพัฒนาสังคม คืออาชีพที่ทำหน้าที่ในการดูแลผู้ประสบปัญหาทางด้านสังคม และมีหน้าที่การทำงานเกี่ยวกับการจัดการสนับสนุนช่วยเหลือโดยตรงให้กับกลุ่มผู้ยากไร้ ผู้ประสบปัญหาด้านจิตใจ และการใช้ชีวิต ผู้ด้อยโอกาสในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ ในสังคม และอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนใครที่ต้องการเป็นนักพัฒนาสังคม ควรมีความตั้งใจที่สำคัญที่สุดคือเรื่องจิตใจ ที่พร้อมจะทำงานจิตอาสาอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะจบภาคสาขาวิชาไหนมาก็ตาม

แม้ไม่ใช่นักพัฒนาสังคม แต่หากคุณคือองค์กรเพื่อสังคม หรือกำลังมองหาช่องทางช่วยเหลือสังคม ให้พัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ร่วมช่วยเหลือผู้ที่ขาดแคลน และกำลังต้องการความช่วยเหลือ ผ่านช่องทางของ Cheewid ตัวกลางการสนับสนุนผู้สร้างผลกระทบเชิงบวกเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย