เข้าสู่ระบบ

Table of Contents
Recent Post
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จัก ปัญหาทางเท้าที่คนไทยต้องเจอ ทั้งฟุตบาทไม่ทนทาน รถจักรยานยนต์ ร้านค้าบนทางเท้า การออกแบบที่ไม่คิดถึงผู้พิการและผู้สูงอายุ มาสร้างทางเท้าให้ดี เพื่อชีวิตที่ดีกัน!

ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข
ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักปัญหาว่างงานในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจส่งผลกระทบในวงกว้าง ควรมีทางออกเพื่อเสริมพลังและสร้างโอกาสใหม่ให้คนไทยกลับมายืนหยัดและมีชีวิตที่ดีได้อย่างเข้มแข็ง

Key Takeaway นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คือโครงการจากรัฐบาลที่กำหนดให้ประชาชนเดินทางในเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการได้ในราคาเดียวเพียง 20 บาทตลอดสาย เป้าหมายของโครงการคือสร้างความเท่าเทียม ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสให้คนเมืองทุกกลุ่มเข้าถึงการเดินทางอย่างสะดวก ลดปัญหารถติดและมลพิษ ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาชุมชนเมือง โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของรัฐบาล กรุงเทพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการผลักดันจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่มีวิสัยทัศน์ด้านระบบขนส่งมวลชน เชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้าในราคาคงที่ ช่วยให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ความท้าทายของนโยบายนี้ คือความยั่งยืนทางการเงิน ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลชดเชยผู้ประกอบการ และปัญหาการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า ทุกวันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าทีก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เพราะค่าโดยสารที่สะสมไปแต่ละวันไม่ใช่น้อยๆ เลย แต่ลองคิดดูว่า… ถ้าเราเดินทางไกลแค่ไหนก็จ่ายเพียง 20 บาท จะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากขนาดไหน? ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ! บทความนี้พามาเจาะลึกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน เรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งพนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือแม่ค้าพ่อค้า ที่ต้องใช้รถไฟฟ้าเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางทุกวันแน่นอน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คืออะไร? โครงการค่าโดยสาร 20 บาท คือความตั้งใจง่ายๆ ที่อยากให้การเดินทางสาธารณะเป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน พนักงาน หรือผู้สูงอายุ เรื่องนี้เริ่มต้นจากคำถามว่า “ทำไมคนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงหลายระดับ บางทีแค่ไปทำงานหรือไปเรียนใกล้ๆ ก็ต้องจ่ายราคาเต็ม?” แนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวจึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยลดภาระและทำให้ทุกคนได้รับสิทธิ์เดินทางในราคาเท่ากัน ในปี 2567 ได้เริ่มทำโครงการนำร่องในสายสีแดงและสายสีม่วงแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากเลย ส่วนเรื่องการหาเงินมาจ่ายนั้น รัฐบาลไม่ได้แค่รับภาระทั้งหมดเอง แต่มีการแบ่งงบและจัดสรรเงินมาใช้ชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ให้บริการยังสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ขาดทุน กลไกนี้ช่วยให้ความมั่นคงในการเดินรถยังดำเนินไปได้ โดยรัฐจะพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการจริงและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนเป็นธรรมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจว่าจะทำให้คมนาคมสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเดินทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวที่คนทุกวัยทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ทำไมนโยบายนี้ถึงสำคัญกับคนเมือง? ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทุกวัน การเดินทางในเมืองใหญ่จึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน การมีนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองและหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาได้จริง ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายวันได้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนและคนที่ต้องเดินทางประจำ การกำหนดราคาเดียวช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทางไกล เพิ่มโอกาสในการเดินทางและใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายยังช่วยกระตุ้นให้เกิดชุมชนและธุรกิจใหม่ในเขตชานเมือง เพิ่มความสะดวกและคุณภาพชีวิตในเมืองอย่างยั่งยืน ลดปัญหารถติดและมลพิษ นโยบายนี้ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เมื่อประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ปริมาณรถติดก็ลดลงตามไปด้วย ช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การใช้รถไฟฟ้ายังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ที่สำคัญคือทำให้เมืองน่าอยู่ สะอาด และเดินทางได้คล่องตัวมากขึ้นสำหรับทุกคน สร้างเมืองที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน นโยบายนี้ไม่ได้แค่ทำให้ค่าโดยสารถูกลงเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย นักเรียน หรือผู้สูงอายุ ช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมและเป็นธรรม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทาง และทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นคนทุกกลุ่ม เป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของคนในเมืองใหญ่ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน พร้อมส่งเสริมให้คนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น สร้างความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว ความเท่าเทียมในการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเดินทาง เพราะไม่ว่าคนจะขึ้นรถไฟฟ้ากี่สายหรือต้องเดินทางไกลเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็จ่ายค่าโดยสารราคาเดียว ทำให้ทุกคนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือรัฐบาลช่วยชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ เพื่อรักษาคุณภาพบริการและทำให้นโยบายนี้ดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ นโยบายนี้ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพราะราคาค่าโดยสารที่ถูกลงทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่าย ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลยังร่วมมือกับกรุงเทพฯ ในการพัฒนาระบบตั๋วร่วมและฟีดเดอร์ระบบขนส่ง เช่น รถเมล์ที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการใช้งานระบบได้ครบวงจรขึ้น แก้ปัญหารถติด นโยบายนี้เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้ เมื่อค่าโดยสารถูกลง ผู้คนจะหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่วิ่งบนถนนในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร ยังช่วยลดเวลาการเดินทางและความเครียดของผู้ใช้ถนนด้วย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบขนส่งของเมือง ทำให้การเดินทางสะดวกและราบรื่นขึ้นโดยรวมในระยะยาว เชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมือง นโยบายนี้เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจและชุมชนเมืองเติบโตเป็นระบบ การลดค่าเดินทางช่วยเพิ่มกำลังซื้อและโอกาสทางธุรกิจในชุมชนต่างๆ เนื่องจากผู้คนสามารถเดินทางเข้า - ออกเมืองได้สะดวกและบ่อยขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าหลายสายยังช่วยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้ารวดเร็ว ทำให้ชุมชนต่างๆ มีโอกาสพัฒนาไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เบื้องหลังการผลักดันนโยบาย โครงการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพฯ พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่วางแนวนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ในขณะที่กรุงเทพฯ นำโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผลักดันให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น นโยบายรถไฟฟ้ากับชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นหัวใจของชีวิตคนเมือง ร่วมกับการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและมลพิษ พร้อมผลักดันให้โครงการได้ผลจริงในเชิงปฏิบัติ เช่น การเชื่อมโยงเส้นทางและเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคสังคมมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามผล ทำให้นโยบายนี้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองจริงๆ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท… ความท้าทายและคำถามที่ยังคงอยู่ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แม้จะได้รับการตอบรับอย่างดีและช่วยลดภาระค่าโดยสารของประชาชน แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนทางการเงินหลักๆ เพราะรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ แต่จากการศึกษาพบว่า… ต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายหลักอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อเที่ยว ทำให้นโยบายนี้เป็นไปได้ถ้าบริหารจัดการดีและมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่มั่นคง เช่น การใช้รายได้ภาษีจากภาคขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า โดยเฉพาะสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้และผลประโยชน์ของภาคเอกชน ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนและการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล ปัญหานี้ยังเป็นอุปสรรคที่ต้องเจรจาและหาข้อตกลงร่วมที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทางเลือกและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนานโยบายในอนาคต ได้แก่ การผลักดันกฎหมายตั๋วร่วมเพื่อให้ใช้บริการได้ด้วยบัตรเดียวทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทให้เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความมั่นคงและเข้าถึงได้ง่ายในระยะยาว สรุป นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคนเมือง ทำให้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ช่วยเชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมแก้ไขปัญหารถติดและมลพิษ เพิ่มคุณภาพชีวิตคนเมืองอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกรุงเทพฯ และภาคประชาสังคม ซึ่งบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมและติดตามนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง FAQ – คำถามที่พบบ่อย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทครอบคลุมทุกสายไหม? โครงการนี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) สายสีน้ำเงิน (MRT) สายสีเหลือง สายสีชมพู และ Airport Rail Link (ARL) รวมรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงที่ทำไปแล้วทั้งหมด 8 สาย รวม 13 เส้นทางและกว่า 194 สถานีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางในราคาคงที่เพียง 20 บาทตลอดสาย แม้ต้องเปลี่ยนสายก็จะไม่เกินราคานี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งผลต่อปัญหารถติดในกรุงเทพฯ อย่างไร? นโยบายนี้ช่วยลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เพราะราคาค่าโดยสารถูกลง คุณภาพชีวิตและการเดินทางจึงดีขึ้น ลดความหนาแน่นของการจราจรในช่วงเร่งด่วนได้ ประชาชนมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายนี้ได้อย่างไร? ประชาชนสามารถร่วมลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ และใช้บัตร EMV Contactless หรือบัตร Rabbit แบบ ABT เพื่อยืนยันตัวตน ร่วมกันใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการของระบบขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้นต่อไป
อนาคตเข้าถึงได้! นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท โครงการเปลี่ยนชีวิตคนเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามาเจาะลึกกับนโยบายรถไฟฟ้า20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน

ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน
ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักจากเสียงประชาชนสู่การแก้ไขจริง! Traffy Fondue คือระบบร้องเรียนของ กทม. นำเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวกรุงให้ดีขึ้น

Cyberbullying คืออะไร การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ที่ไม่ควรมองข้าม!

Cyberbullying ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิดของเด็กไทยหลายคนในปัจจุบัน สำหรับบทความนี้ CHEEWID มาทำความรู้จักกับ Cyberbullying คืออะไร พร้อมหาสาเหตุ และวิธีการรับมือที่เหมาะสม
Cyberbullying คืออะไร การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ที่ไม่ควรมองข้าม!
Table of Contents

 

Key Takeaway

  • Cyberbullying คือการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ด้วยการใช้คำพูดและการกระทำที่ไม่เหมาะสม เพื่อทำให้ผู้อื่นเกิดความเจ็บปวดทั้งทางกายและจิตใจ
  • สาเหตุของการ Cyberbullying เกิดขึ้นได้จากความขัดแย้ง ทัศนคติไม่ตรงกัน ความเกลียดชัง ความอิจฉา ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ หรือเพื่อความสนุกสนาน
  • ตัวอย่างการ Cyberbullying ได้แก่ พูดจาข่มขู่ ทำตัวคุกคาม ประจานให้เสียหาย แอบอ้างชื่อคนอื่น ล่อลวงด้วยคำพูด และสร้างข่าวลือ
  • วิธีการรับมือเมื่อเกิดเหตุการณ์ Cyberbullying ทำได้โดยทำตัวเพิกเฉย ไม่ตอบโต้ด้วยความรุนแรง บล็อกการติดต่อ ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ และขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ตัว หรือผู้มีอำนาจมากกว่า
  • องค์กรที่ให้ความช่วยเหลือผู้ที่โดนกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ ได้แก่ มูลนิธิสายเด็ก 1387 และ The Samaritans of Thailand

 

Cyberbullying คือสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงในเด็กและเยาวชนไทย มักเกิดจากการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ จนส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตของเด็กไทยในปัจจุบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ปกครองควรดูแลอย่างใกล้ชิด โดยบทความนี้จะพามาทำความรู้จักกับ Cyberbullying คืออะไร พร้อมหาสาเหตุ และวิธีการรับมือที่เหมาะสม เพื่อป้องกันโศกนาฏกรรมที่อาจเกิดขึ้น

 

Cyberbullying คืออะไร ทำไมถึงร้ายแรงกว่าที่คิด

 

Cyberbullying คืออะไร ทำไมถึงร้ายแรงกว่าที่คิด

Cyberbullying คือการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์หรือบนโลกออนไลน์ ผ่านการละเมิดสิทธิต่างๆ ของคนโดนกระทำ ไม่ว่าจะเป็นการคุกคาม คำพูดข่มขู่ พูดเรื่องละเอียดอ่อน เผยแพร่ภาพหรือข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ยินยอม สวมรอยเป็นคนอื่น ตัดต่อภาพหรือวิดีโอที่ทำให้ผู้อื่นอับอาย

ส่วนมาก Cyberbullying มักเกิดขึ้นบน แพลตฟอร์มโซเชียล อย่าง Facebook, X (Twitter) และ Instagram รวมถึงสังคมเกมออนไลน์ กับเว็บบล็อกต่างๆ ก็สามารถโดนกลั่นแกล้งทั้งคำพูด ข้อความ หรือรูปภาพต่างๆ ที่สื่อในทางไม่ดีได้เช่นกัน

 

เจาะลึกหาสาเหตุการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์

สาเหตุของการ Cyberbullying หรือการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ มักเกิดจากความไม่พอใจ การไม่ชอบหน้า ความคิดเห็นไม่ตรงกัน บางครั้งอาจเกิดจากความอิจฉา อย่างการขัดแย้งผลประโยชน์ เห็นคนอื่นได้ดีกว่า รวมถึงล้อเลียน เพื่อความสนุก ทำให้ตัวเองรู้สึกมีอำนาจที่ทำให้ใครๆ ต้องกลัว ส่งผลให้คนโดนแกล้งต้องรู้สึกอับอาย จนกลายเป็นการแกล้งที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง 

การกระทำแบบนี้ ผู้รังแกมองว่าพวกเขาทำผ่านพื้นที่ส่วนตัวจึงสามารถทำอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะใช้ถ้อยคำรุนแรง พูดจาเสียดสี โพสต์รูปแบบไหนก็ได้ เพราะไม่ต้องเจอหน้าเหยื่อโดยตรง และไม่ต้องกลัวว่าเหยื่อจะตอบโต้ด้วยความรุนแรง

นอกจากนี้ ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ใช้ข่มเหงรังแก หรือพูดคุยเชิงล้อเลียนได้เช่นกัน เพราะผู้รังแกมองว่า เป็นกลุ่มคนที่มีวัฒนธรรม ความเชื่อ ประเพณีที่ต่างกันกับตัวเองเป็นคนแปลก หรืออยู่คนละชั้นกับตัวเอง จึงสามารถแสดงความคิดและอารมณ์แง่ลบออกมาโดยไม่สนใจหรือเกรงใจผู้อื่นได้

 

สถานการณ์ Cyberbullying ในไทยที่ไม่ควรมองเป็นเรื่องปกติ

 

สถานการณ์ Cyberbullying ในไทยที่ไม่ควรมองเป็นเรื่องปกติ

ปัจจุบันในสังคมไทย โดยเฉพาะเด็กไทยกำลังเจอกับสถานการณ์การ Cyberbullying หรือการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์สูงเป็นอันดับต้นๆ ของเอเชีย ซึ่งเกิดจากเด็กและเยาวชน ในกลุ่มโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยเดียวกัน เพราะกลุ่มคนเหล่านี้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่าย ทำให้พวกเขาเปลี่ยนจากการแกล้งในโรงเรียนมาแกล้งบนโลกออนไลน์แทน

ตัวอย่าง Cyberbullying ในไทย มีให้เห็นทั้งโพสต์ถ้อยคำรุนแรง การใส่ร้ายป้ายสีให้คนอื่นเข้าใจผิด ทำให้มีคนแชร์และมาคอมเมนต์เชิงลบเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นการกระทำที่หลายคนมองเป็นเรื่องสนุกโดยที่ไม่ได้สนใจความรู้สึกของเหยื่อเลย

 

 

ผลกระทบจากการโดน Cyberbullying 

Cyberbullying หรือการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ จากความคึกคะนอง ทำความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ก็ล้วนส่งผลกระทบต่อคนที่ถูกกลั่นแกล้ง ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ และจิตใจในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกอับอาย อาการวิตกกังวล ความเครียดสะสม จนทำให้นอนไม่หลับ ไม่รู้สึกอยากอาหาร กินข้าวได้น้อยลง เจ็บป่วยง่าย บางรายเปลี่ยนจากที่คนเคยมีสุขภาพจิตที่ดีกลายเป็นผู้ที่เข้าสู่สภาวะซึมเศร้า และอาจรุนแรงถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตาย

 

ตัวอย่างการ Cyberbullying ที่หลายคนกำลังเผชิญ

 

ตัวอย่างการ Cyberbullying ที่หลายคนกำลังเผชิญ

ตัวอย่างการ Cyberbullying ที่ถูกพบบ่อยในโลกออนไลน์มีอะไรบ้าง มีดังนี้

1. การก่อกวน ข่มขู่ คุกคาม

การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ด้วยการก่อกวน ใช้คำพูดข่มขู่ หรือการคุกคาม เป็นการกลั่นแกล้งที่สร้างความน่ารำคาญใจและสร้างความทุกข์ใจ ด้วยการใช้ถ้อยคำในเชิงลบ ใช้ข้อความด่าทอ ล้อเลียนเพศสภาพ เชื้อชาติ หรือศาสนา ผ่านข้อความ Facebook โพสต์บนโซเชียลมีเดียของตนเองหรือผู้ถูกกระทำ รวมถึงส่งข้อความคุกคามต่อเนื่อง เพื่อให้รู้สึกกลัว อึดอัด และไม่สบายใจกับสิ่งที่ต้องเจอ

2. การประจาน เผยแพร่ความลับ

การเผยแพร่ความลับหรือข้อมูลส่วนตัวคนอื่นโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นการแชร์ภาพลับส่วนตัว แอบถ่ายภาพหลุดหรือภาพโป๊เปลือย แชร์คลิปที่โดนกลั่นแกล้ง โดนทำร้าย หรือคลิปล่อแหลมในทางที่ไม่ดีบนโซเชียล เพื่อให้คนอื่นแสดงความคิดเห็นและแชร์ต่อกันเป็นวงกว้าง ถือเป็นการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์อย่างหนึ่ง ที่มีเจตนาทำให้ผู้อื่นอับอาย เสียหาย และถูกมองในแง่ลบ

3. การแอบอ้างชื่อ สร้างความเสียหาย

การแอบอ้างเป็นคนอื่น แอบอ้างชื่อคนอื่นที่ทำให้คนหลงเชื่อ ก็สร้างความเสียหายให้กับคนที่โดนแอบอ้างได้เช่นกัน โดยตัวอย่างการบูลลี่ เช่น แฮ็กบัญชี Facebook, Line และ Instagram ของเหยื่อ สร้างบัญชีปลอมขึ้นมาใหม่ เพื่อสร้างข่าวลือเสียหายที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิด สร้างเรื่องหลอกลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อเพื่อหลอกลวงเอาทรัพย์สิน โพสต์ว่าร้ายคนอื่น รวมถึงการโพสต์รูปหรือคลิปอนาจาร เป็นการกลั่นแกล้งที่สร้างความเครียด วิตกกังวล และสร้างความเสื่อมเสียให้กับเหยื่อ

4. การล่อลวง หลอกให้เชื่อ

รูปแบบการล่อลวงหรือหลอกให้เชื่อ เป็นอีกหนึ่ง Cyberbullying ที่พบเห็นได้บ่อย ตัวอย่างเช่น การหลอกลวงจากมิจฉาชีพหรือแก๊งคอลเซนเตอร์ ที่ปลอมตัวเป็นคนในครอบครัว คนรู้จัก หรือเพื่อน เพื่อหลอกให้เหยื่อโอนเงินเข้าบัญชี การหลอกด้วยการใช้กฎหมายข่มขู่ให้เหยื่อหวาดกลัว หรือการใช้รูปโปรไฟล์ของคนหน้าตาดีมาหลอกเหยื่อลงรักและเชื่อใจ และพยายามนัดเจอ เพื่อทำมิดีมิร้ายหรือล่วงละเมิดทางเพศ

5. การสร้างข่าวเท็จ

การสร้างข่าวปลอม ข่าวเท็จ เป็นการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ ด้วยการโพสต์ใส่ร้ายป้ายสีให้คนอื่นมองผู้ถูกกระทำว่าเป็นคนไม่ดี สร้างเรื่องหลอกลวง นินทา และว่าร้าย เพื่อให้คนอื่นเข้าใจผิด หรือการเอาภาพไปตัดต่อในทางเสียหายและไม่เหมาะสม ที่ทำให้โดนถูกดูหมิ่นและรู้สึกอับอาย เป็นการกลั่นแกล้งด้วยความตั้งใจ เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

 

รับมือกับ Cyberbullying แบบถูกวิธีได้อย่างไร

 

รับมือกับ Cyberbullying แบบถูกวิธีได้อย่างไร

สำหรับการโดนกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ มักนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพกายและสุขจิต จึงมีวิธีการรับมือเมื่อโดนบูลลี่บนโลกออนไลน์ ดังนี้

1. ถอยห่างออกมา

อย่างแรกเมื่อเกิดเหตุการณ์การโดนกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ ผู้ถูกกระทำควรเพิกเฉย อย่าไปสนใจอ่านข้อความรุนแรงเหล่านี้ เพราะอาจทำให้จิตใจแย่ลงได้ ทางที่ดีควรถอยห่างออกมาเพื่อตั้งสติ หาที่สงบจิตใจ เพื่อให้จิตใจและอารมณ์ของเราไม่แปรปรวนจนเกินไป หรืออาจทำ Social Detox ควบคุมเวลาเล่นโทรศัพท์ให้เป็นกิจวัตร เพื่อให้โฟกัสกับสิ่งอื่นๆ ไม่ต้องเห็นความคิดเห็นเชิงลบ ช่วยลดความวิตกกังวล และยังทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นอีกด้วย

2. ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น

หากการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์เป็นเรื่องใหญ่เกินจะรับมือไหว ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย จิตใจ ชีวิตและทรัพย์สิน เหยื่อสามารถขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้ เช่น พ่อแม่ คนในครอบครัว ญาติ เพื่อนสนิท หรือคนคนที่มีอำนาจ อย่างเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐ เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาในครั้งนี้ ซึ่งก็จะทำให้ปัญหาที่ต้องเจออยู่ถูกแก้ไขโดยเร็วและแก้ไขได้อย่างถูกต้องโดยผู้ที่มีวุฒิภาวะ

 

 

3. รายงาน หรือบล็อกผู้กระทำ

การ Cyberbullying มักเป็นการกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ ผ่านสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ หากพบว่าตนเองหรือผู้อื่นโดนกระทำ สามารถใช้ฟังก์ชันบล็อกบัญชีผู้ใช้นั้นๆ และรายงานบัญชีผู้ใช้ เพื่อให้ผู้ดูแลระบบเว็บไซต์ปิดกั้นไม่ให้ผู้กลั่นแกล้งใช้เว็บไซต์หรือกระทำการใดได้อีกในอนาคต และผู้โดนกระทำก็ไม่ต้องเจอกับข้อความดูหมิ่นที่ทำให้เสียสุขภาพจิตอีกด้วย

4. ห้ามตอบโต้หรือเอาคืน

เมื่อตัวเองหรือคนรอบตัวโดน Cyberbullying ตัวอย่างเช่น โดนประจาน ถูกใส่ร้ายป้ายสี แต่งเรื่องเพื่อดูหมิ่นศักดิ์ศรี หรือโพสต์ภาพส่วนตัวที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ก็ไม่ควรตอบโต้ด้วยความรุนแรง หรือเอาคืนด้วยวิธีเดียวกัน เพราะจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าเดิม

วิธีที่ดีที่สุด คือการนิ่งเฉยไม่ตอบโต้อะไร และปล่อยให้ผู้กระทำกระวนกระวายใจหรือร้อนรน จนเบื่อ และถอยห่างไปเอง เป็นผลดีที่ทำให้ตัวเราไม่ต้องเสียสุขภาพจิตกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง และก็จะทำให้คนอื่นมองว่าอีกฝ่ายทำตัวไม่ดีในท้ายที่สุด

5. เพิ่มความปลอดภัยบนโลกออนไลน์

ตั้งค่าข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือหน้าโปรไฟล์ ให้เห็นเฉพาะคนในครอบครัว เพื่อน หรือคนรู้จักเท่านั้น และควรพิมพ์ข้อความหรือแชร์รูปภาพด้วยความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงการโพสต์อะไรที่อาจทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ รวมถึงไม่เปิดรับข้อความจากคนที่ไม่รู้จักเพื่อลดความเสี่ยงและป้องกันการโดนกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ด้วยวิธีอื่นๆ

 

กฎหมายเกี่ยวกับ Cyberbullying ในไทย

ในประเทศไทย ก็มีกฎหมายเกี่ยวกับการถูกกลั่นแกล้งหรือรังแกบนโลกออนไลน์ที่เอาผิดผู้ที่รังแกและสร้างความเสียหายให้ผู้อื่น เช่น 

  • มาตรา 326 ใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 328 โฆษณาด้วยสร้างเอกสาร ภาพวาด วิดีโอ บันทึกเสียงและเผยแพร่ หรือบันทึกภาพและเผยแพร่ โทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท
  • มาตรา 392 ทำให้ผู้อื่นเกิดความตกใจ หรือความกลัว โดยการขู่ทำร้าย มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 397 รังแก ข่มเหง คุกคาม ทำให้ผู้อื่นอับอายและเดือดร้อน โทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท

 

องค์กรที่ให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับ Cyberbullying

 

องค์กรที่ให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับ Cyberbullying

การโดนบูลลี่หรือการถูกกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ เป็นภัยใกล้ตัวที่ใครๆ ก็อาจพบเจอได้ และเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้แล้ว ควรแจ้งคนใกล้ตัว เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง หรือองค์กรที่ให้ความช่วยเหลือเพื่อยุติปัญหาที่เกิดขึ้น โดยองค์กรในไทยที่ให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับ Cyberbullying มีดังนี้

มูลนิธิสายเด็ก 1387 

องค์กรที่ให้ความช่วยเหลือเด็กและเยาวชนทั้งชายและหญิง ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปี ที่มีปัญหาทุกข์ใจ ไม่สบายใจ หรือความเครียดสะสม จากปัญหาเรื่องเรียน ทะเลาะกับเพื่อน ความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว รวมถึงการถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียนหรือบนโลกออนไลน์ ซึ่งจะมีพี่สายเด็กคอยรับฟังปัญหาโดยไม่ตัดสิน ให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ และประสานหน่วยงานเพื่อช่วยเหลือ

นอกจากนี้ ยังให้ความช่วยเหลือเด็กที่ถูกทอดทิ้ง เด็กกำพร้า หรือเด็กขาดโอกาส ด้วยการให้ที่พักพิงชั่วคราว เสริมทักษะการเรียนรู้ ทักษะการใช้ชีวิตเพื่อให้เด็กๆ ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

The Samaritans of Thailand

สมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย เป็นสมาคมที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้บริการเป็นเพื่อนพูดคุยทางโทรศัพท์ เป็นสายคลายทุกข์ให้กับคนที่โทรเข้ามาปรึกษา เพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย โดยมีอาสาสมัครทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ จากหลากหลายอาชีพที่ผ่านการอบรมมาแล้ว คอยให้คำปรึกษา รับฟังโดยไม่ตัดสิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหาที่ทำงาน ปัญหาคนรอบข้าง ปัญหาจากการโดนกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ หรือปัญหาอื่นๆ ที่เป็นอีกหนึ่งเซฟโซน ที่ทำให้เล่าได้อย่างสบายใจ และสร้างสุขภาพจิตที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

 

สรุป

Cyberbullying คือพฤติกรรมการกลั่นแกล้งผู้อื่นบนโลกออนไลน์ มักเกิดจากความคึกคะนอง ความสนุกส่วนตัว หรือต้องการมีอำนาจเหนือคนอื่น ด้วยการคุกคามในกล่องข้อความส่วนตัว ส่งรูปภาพลามก ใช้คำพูดข่มขู่ หรือปลอมเป็นคนอื่น เพื่อให้ผู้ถูกกระทำโดนมองในแง่ลบ เสื่อมเสียชื่อเสียง ที่ส่งผลในระยะยาวทั้งร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และความรู้สึก หากคนที่เผชิญกับเหตุการณ์นี้อยู่ ควรตั้งสติและรับมืออย่างถูกวิธี หลีกเลี่ยงการโต้ตอบ ขอความช่วยเหลือจากคนที่ไว้ใจได้ คนที่มีอำนาจมากกว่า และที่สำคัญ ควรคิดก่อนโพสต์หรือคิดก่อนแชร์เสมอ

 

References

  1. Amnesty International Thailand. Cyberbullying: การกลั่นแกล้งบนโลกออนไลน์ที่คุ้นเคยแต่ไม่ควรคุ้นชิน. Amnesty.or.th. Published 16 June 2021. Retrieved 24 January 2025.
  2. Ben-Joseph, E. P. Cyberbullying (for Teens) | Nemours KidsHealth. kidshealth.org. Published August 2022.  Retrieved 24 January 2025.
  3. Eventpop. รู้หรือไม่ 59% ของเด็กไทย เคยเป็นส่วนหนึ่งใน Cyberbullying. eventpop.me. Published 14 March 2019. Retrieved 24 January 2025.
  4. Fillgoods. Cyberbullying คืออะไร วิธีรับมือการกลั่นแกล้งและระรานบนไซเบอร์แบบอยู่หมัด. Fillgoods.co. Published 23 December 2021. Retrieved 24 January 2025.
  5. Psy.Chula. การข่มเหงรังแกทางโลกไซเบอร์ – Cyberbullying. Psy.chula.ac.th. Published 12 October 2023. Retrieved 24 January 2025.

 

องค์กรเพื่อสังคมที่เกี่ยวข้อง

logo-มูลนิธิสายเด็ก1387

มูลนิธิสายเด็ก1387

เราเป็นมูลนิธิฯ ที่ให้ความช่วยเหลือแก่เด็กทุกคนที่อายุไม่เกิน 18 ปี ในทุกๆ ปัญหา เราสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กทุกคน ได้แสดงความคิดเห็นและบอกเล่าเรื่องราวได้อย่างอิสระ รับฟัง..โดยไม่ตัดสิน :)
banner-The Samaritans of Thailand
logo-The Samaritans of Thailand

The Samaritans of Thailand

ทำงานร่วมกับสื่อโซเชียลมีเดียในการประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลคำแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพจิต รวมทั้งยังเปิดอบรมการเป็นอาสาสมัครเพื่อเข้ามาทำงานในโครงการฟังด้วยใจอย่างต่อเนื่องเพื่อร่วมกันสร้างสังคมสุขภาพจิตดี