เข้าสู่ระบบ

Table of Contents
Recent Post
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จัก ปัญหาทางเท้าที่คนไทยต้องเจอ ทั้งฟุตบาทไม่ทนทาน รถจักรยานยนต์ ร้านค้าบนทางเท้า การออกแบบที่ไม่คิดถึงผู้พิการและผู้สูงอายุ มาสร้างทางเท้าให้ดี เพื่อชีวิตที่ดีกัน!

ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข
ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักปัญหาว่างงานในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจส่งผลกระทบในวงกว้าง ควรมีทางออกเพื่อเสริมพลังและสร้างโอกาสใหม่ให้คนไทยกลับมายืนหยัดและมีชีวิตที่ดีได้อย่างเข้มแข็ง

Key Takeaway นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คือโครงการจากรัฐบาลที่กำหนดให้ประชาชนเดินทางในเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการได้ในราคาเดียวเพียง 20 บาทตลอดสาย เป้าหมายของโครงการคือสร้างความเท่าเทียม ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสให้คนเมืองทุกกลุ่มเข้าถึงการเดินทางอย่างสะดวก ลดปัญหารถติดและมลพิษ ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาชุมชนเมือง โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของรัฐบาล กรุงเทพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการผลักดันจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่มีวิสัยทัศน์ด้านระบบขนส่งมวลชน เชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้าในราคาคงที่ ช่วยให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ความท้าทายของนโยบายนี้ คือความยั่งยืนทางการเงิน ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลชดเชยผู้ประกอบการ และปัญหาการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า ทุกวันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าทีก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เพราะค่าโดยสารที่สะสมไปแต่ละวันไม่ใช่น้อยๆ เลย แต่ลองคิดดูว่า… ถ้าเราเดินทางไกลแค่ไหนก็จ่ายเพียง 20 บาท จะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากขนาดไหน? ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ! บทความนี้พามาเจาะลึกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน เรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งพนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือแม่ค้าพ่อค้า ที่ต้องใช้รถไฟฟ้าเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางทุกวันแน่นอน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คืออะไร? โครงการค่าโดยสาร 20 บาท คือความตั้งใจง่ายๆ ที่อยากให้การเดินทางสาธารณะเป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน พนักงาน หรือผู้สูงอายุ เรื่องนี้เริ่มต้นจากคำถามว่า “ทำไมคนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงหลายระดับ บางทีแค่ไปทำงานหรือไปเรียนใกล้ๆ ก็ต้องจ่ายราคาเต็ม?” แนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวจึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยลดภาระและทำให้ทุกคนได้รับสิทธิ์เดินทางในราคาเท่ากัน ในปี 2567 ได้เริ่มทำโครงการนำร่องในสายสีแดงและสายสีม่วงแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากเลย ส่วนเรื่องการหาเงินมาจ่ายนั้น รัฐบาลไม่ได้แค่รับภาระทั้งหมดเอง แต่มีการแบ่งงบและจัดสรรเงินมาใช้ชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ให้บริการยังสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ขาดทุน กลไกนี้ช่วยให้ความมั่นคงในการเดินรถยังดำเนินไปได้ โดยรัฐจะพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการจริงและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนเป็นธรรมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจว่าจะทำให้คมนาคมสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเดินทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวที่คนทุกวัยทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ทำไมนโยบายนี้ถึงสำคัญกับคนเมือง? ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทุกวัน การเดินทางในเมืองใหญ่จึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน การมีนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองและหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาได้จริง ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายวันได้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนและคนที่ต้องเดินทางประจำ การกำหนดราคาเดียวช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทางไกล เพิ่มโอกาสในการเดินทางและใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายยังช่วยกระตุ้นให้เกิดชุมชนและธุรกิจใหม่ในเขตชานเมือง เพิ่มความสะดวกและคุณภาพชีวิตในเมืองอย่างยั่งยืน ลดปัญหารถติดและมลพิษ นโยบายนี้ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เมื่อประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ปริมาณรถติดก็ลดลงตามไปด้วย ช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การใช้รถไฟฟ้ายังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ที่สำคัญคือทำให้เมืองน่าอยู่ สะอาด และเดินทางได้คล่องตัวมากขึ้นสำหรับทุกคน สร้างเมืองที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน นโยบายนี้ไม่ได้แค่ทำให้ค่าโดยสารถูกลงเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย นักเรียน หรือผู้สูงอายุ ช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมและเป็นธรรม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทาง และทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นคนทุกกลุ่ม เป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของคนในเมืองใหญ่ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน พร้อมส่งเสริมให้คนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น สร้างความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว ความเท่าเทียมในการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเดินทาง เพราะไม่ว่าคนจะขึ้นรถไฟฟ้ากี่สายหรือต้องเดินทางไกลเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็จ่ายค่าโดยสารราคาเดียว ทำให้ทุกคนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือรัฐบาลช่วยชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ เพื่อรักษาคุณภาพบริการและทำให้นโยบายนี้ดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ นโยบายนี้ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพราะราคาค่าโดยสารที่ถูกลงทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่าย ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลยังร่วมมือกับกรุงเทพฯ ในการพัฒนาระบบตั๋วร่วมและฟีดเดอร์ระบบขนส่ง เช่น รถเมล์ที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการใช้งานระบบได้ครบวงจรขึ้น แก้ปัญหารถติด นโยบายนี้เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้ เมื่อค่าโดยสารถูกลง ผู้คนจะหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่วิ่งบนถนนในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร ยังช่วยลดเวลาการเดินทางและความเครียดของผู้ใช้ถนนด้วย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบขนส่งของเมือง ทำให้การเดินทางสะดวกและราบรื่นขึ้นโดยรวมในระยะยาว เชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมือง นโยบายนี้เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจและชุมชนเมืองเติบโตเป็นระบบ การลดค่าเดินทางช่วยเพิ่มกำลังซื้อและโอกาสทางธุรกิจในชุมชนต่างๆ เนื่องจากผู้คนสามารถเดินทางเข้า - ออกเมืองได้สะดวกและบ่อยขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าหลายสายยังช่วยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้ารวดเร็ว ทำให้ชุมชนต่างๆ มีโอกาสพัฒนาไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เบื้องหลังการผลักดันนโยบาย โครงการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพฯ พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่วางแนวนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ในขณะที่กรุงเทพฯ นำโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผลักดันให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น นโยบายรถไฟฟ้ากับชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นหัวใจของชีวิตคนเมือง ร่วมกับการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและมลพิษ พร้อมผลักดันให้โครงการได้ผลจริงในเชิงปฏิบัติ เช่น การเชื่อมโยงเส้นทางและเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคสังคมมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามผล ทำให้นโยบายนี้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองจริงๆ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท… ความท้าทายและคำถามที่ยังคงอยู่ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แม้จะได้รับการตอบรับอย่างดีและช่วยลดภาระค่าโดยสารของประชาชน แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนทางการเงินหลักๆ เพราะรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ แต่จากการศึกษาพบว่า… ต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายหลักอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อเที่ยว ทำให้นโยบายนี้เป็นไปได้ถ้าบริหารจัดการดีและมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่มั่นคง เช่น การใช้รายได้ภาษีจากภาคขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า โดยเฉพาะสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้และผลประโยชน์ของภาคเอกชน ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนและการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล ปัญหานี้ยังเป็นอุปสรรคที่ต้องเจรจาและหาข้อตกลงร่วมที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทางเลือกและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนานโยบายในอนาคต ได้แก่ การผลักดันกฎหมายตั๋วร่วมเพื่อให้ใช้บริการได้ด้วยบัตรเดียวทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทให้เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความมั่นคงและเข้าถึงได้ง่ายในระยะยาว สรุป นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคนเมือง ทำให้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ช่วยเชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมแก้ไขปัญหารถติดและมลพิษ เพิ่มคุณภาพชีวิตคนเมืองอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกรุงเทพฯ และภาคประชาสังคม ซึ่งบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมและติดตามนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง FAQ – คำถามที่พบบ่อย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทครอบคลุมทุกสายไหม? โครงการนี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) สายสีน้ำเงิน (MRT) สายสีเหลือง สายสีชมพู และ Airport Rail Link (ARL) รวมรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงที่ทำไปแล้วทั้งหมด 8 สาย รวม 13 เส้นทางและกว่า 194 สถานีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางในราคาคงที่เพียง 20 บาทตลอดสาย แม้ต้องเปลี่ยนสายก็จะไม่เกินราคานี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งผลต่อปัญหารถติดในกรุงเทพฯ อย่างไร? นโยบายนี้ช่วยลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เพราะราคาค่าโดยสารถูกลง คุณภาพชีวิตและการเดินทางจึงดีขึ้น ลดความหนาแน่นของการจราจรในช่วงเร่งด่วนได้ ประชาชนมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายนี้ได้อย่างไร? ประชาชนสามารถร่วมลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ และใช้บัตร EMV Contactless หรือบัตร Rabbit แบบ ABT เพื่อยืนยันตัวตน ร่วมกันใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการของระบบขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้นต่อไป
อนาคตเข้าถึงได้! นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท โครงการเปลี่ยนชีวิตคนเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามาเจาะลึกกับนโยบายรถไฟฟ้า20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน

ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน
ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักจากเสียงประชาชนสู่การแก้ไขจริง! Traffy Fondue คือระบบร้องเรียนของ กทม. นำเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวกรุงให้ดีขึ้น

กราฟฟิตี้ (Graffiti) ศิลปะข้างกำแพง รอยขีดเขียนแห่งการเสียดสีสังคม

บทความนี้ CHEEWID จะพาทุกคนมารู้จักกับ กราฟฟิตี้ (Graffiti) หรือศิลปะข้างกำแพง ที่ไม่ใช่การขีดเขียนเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังแทรกไปด้วยประเด็นสังคม การเผยตัวตนผ่านศิลปะนี้คืออะไร บทความนี้มีคำตอบ!
กราฟฟิตี้ (Graffiti) ศิลปะข้างกำแพง รอยขีดเขียนแห่งการเสียดสีสังคม
Table of Contents

 

Key Takeaway

  • กราฟฟิตี้ (Graffiti) มาจากคำว่า ‘Grafito’ แปลว่าการเขียนหรือการวาด มีประวัติย้อนไปถึง 30,000 ปีก่อน มีหลักฐานเก่าแก่ที่สุดคือภาพวาดบนผนังถ้ำทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ต่อมาได้รับความนิยมมากขึ้นผ่านวัฒนธรรมฮิปฮอปในอเมริกา ที่นิยมพ่นชื่อตัวเองบนผนังรถไฟใต้ดิน
  • กราฟฟิตี้เป็นงานศิลปะที่ปรากฏในพื้นที่สาธารณะ โดยการวาด พ่นสี หรือเขียนข้อความลงบนกำแพง อาคาร หรือพื้นผิวต่างๆ มักใช้สีสเปรย์ หรือสีอะคริลิกในการสร้างสรรค์ผลงาน และมีหลายสไตล์ทั้ง Wild Style, Bubble Style และ 3D Style 
  • นอกจากกราฟฟิตี้จะเป็นการแสดงออกทางศิลปะแล้ว ยังสะท้อนความคิด และประเด็นทางสังคม เป็นช่องทางในการสื่อสารของเหล่าคนชายขอบ ช่วยให้ศิลปะเข้าถึงกลุ่มคนหลายกลุ่ม จนเกิดการแลกเปลี่ยนความคิดกัน และยังทำให้เป็นจุดแลนด์มาร์กในการพบปะกันอีกด้วย
  • ผลงานของศิลปินกราฟฟิตี้ชื่อดังทั่วโลก เช่น Girl with Balloon โดย Banksy, The Man Who Walks Through Walls โดย Blek le Rat, The Death of Graffiti โดย Lady Pink และ Black Panther โดย Headache Stencil

 

เราต่างก็ถูกสังคมหล่อหลอมให้คิดว่าอาชีพเกี่ยวกับศิลปะนั้น ‘ไส้แห้ง’ แต่ศิลปะเป็นอะไรที่มากกว่าเรื่องเงิน เพราะศิลปะคือสิ่งที่ช่วยหล่อหลอมจิตใจ ช่วยให้เข้าใจนัยยะบางอย่างได้โดยไม่จำเป็นต้องแสดงออกมาเป็นคำพูด และในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันนี้ การมีอยู่ของศิลปะนั้นสำคัญต่อการมีอยู่ของใครหลายๆ คนด้วยเช่นกัน

มาทำความรู้จัก กราฟฟิตี้ (Graffiti) หรือศิลปะข้างกำแพง ที่ไม่ใช่แค่ศิลปะการขีดเขียนเพื่อความสวยงามเท่านั้น แต่ยังสอดแทรกไปด้วยประเด็นสังคม หากสงสัยว่าการเปิดเผยตัวตนผ่านศิลปะแบบนี้คืออะไร บทความนี้มีคำตอบ!

 

กราฟฟิตี้ ศิลปะข้างกำแพง มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร

กราฟฟิตี้ ศิลปะข้างกำแพง มีจุดเริ่มต้นมาจากอะไร

กราฟฟิตี้ หรือ Graffiti มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกโบราณ ‘Grafito’ มีความหมายว่าการเขียนหรือการวาด รูปแบบของศิลปะนี้มีประวัติย้อนไปถึง 30,000 ปีก่อน โดยมีหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดคือภาพวาดบนผนังถ้ำทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ซึ่งถือเป็นงานศิลปะถ้ำที่มีความเก่าแก่และได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยค้นพบ ต่อมากราฟฟิตี้ก็เริ่มนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จากวัฒนธรรมฮิปฮอปในอเมริกาที่นิยมพ่นชื่อตัวเองบนผนังรถไฟใต้ดิน

กราฟฟิตี้ เป็นรูปแบบงานศิลปะที่ปรากฏในพื้นที่สาธารณะ ส่วนใหญ่เป็นการวาด พ่นสี หรือเขียนข้อความลงเท่ๆ ข้างกำแพง อาคาร หรือพื้นผิวต่างๆ โดยงานกราฟฟิตี้มีหลายรูปแบบตั้งแต่การเขียนชื่อแบบง่ายๆ ไปจนถึงงานศิลปะที่มีความซับซ้อน ศิลปะแนวนี้มักใช้สีสเปรย์หรือสีอะคริลิกในการสร้างสรรค์ผลงาน และมีสไตล์ที่หลากหลายทั้ง Wild Style, Bubble Style และ 3D Style 

นอกจากกราฟฟิตี้จะเป็นการแสดงออกทางศิลปะแล้ว ยังสะท้อนความคิด ประเด็นสังคม และการเคลื่อนไหวทางสังคม แม้ว่าการทำกราฟฟิตี้โดยไม่ได้รับอนุญาตจะผิดกฎหมายในหลายๆ ประเทศ แต่ปัจจุบันก็มีพื้นที่จำนวนมากที่เปิดโอกาสให้ศิลปินได้แสดงออกได้อย่างถูกกฎหมาย

 

ความแตกต่างระหว่าง Graffiti กับ Street Art

ความแตกต่างระหว่าง Graffiti กับ Street Art

Street Art คือรูปแบบศิลปะที่รวมหลากหลายเทคนิคเข้าด้วยกันทั้งการเพนต์ ปั้น และพ่นสี โดยผลงานมักถูกสร้างสรรค์ในพื้นที่สาธารณะอย่างผนังตึกหรือข้างกำแพง ผู้สร้างสรรค์ผลงานไม่จำเป็นต้องเป็น Street Artist โดยเฉพาะ แต่อาจเป็นศิลปินทั่วไปที่หันมาสร้างงานในรูปแบบนี้ก้ได้เช่นกัน

เมื่อเทียบกับ Graffiti แล้ว Street Art จะมีเนื้อหาที่นุ่มนวลกว่า เน้นความสวยงามมากกว่าการเสียดสีสังคม แม้บางครั้งอาจแฝงประเด็นทางสังคมไว้ในผลงานบ้างตามที่ศิลปินจะสื่อสาร ที่สำคัญคือการสร้างผลงาน Street Art มักได้รับการอนุญาตจากเจ้าของสถานที่ จึงไม่ผิดกฎหมายเหมือนกราฟฟิตี้ 

 

กราฟฟิตี้ ศิลปะของคนชายขอบ ส่งผลต่อสังคมอย่างไร

กราฟฟิตี้ ศิลปะของคนชายขอบ ส่งผลต่อสังคมอย่างไร

กราฟฟิตี้มักพูดถึงประเด็นสังคมที่กำลังเป็นประเด็นร้อน หรืออาจเป็นเรื่องที่สังคมลืมไปแล้ว แล้วศิลปะแบบกราฟฟิตี้ส่งผลต่อสังคมอย่างไร ไปดูกัน

สะท้อนประเด็นสังคม

กราฟฟิตี้เป็นเครื่องมือในการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นทางสังคมทั้งการทำงานของรัฐบาล สะท้อนความไม่เท่าเทียม การเรียกร้องประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน กราฟฟิตี้ยังนำเสนอปัญหาความเหลื่อมล้ำ วิพากษ์ระบบทุนนิยมและบริโภคนิยม สื่อถึงปัญหาความยากจน การแบ่งชนชั้นในสังคม การเหยียดเชื้อชาติ ความเท่าเทียมทางเพศ และประเด็นสิ่งแวดล้อม เรียกได้ว่างานกราฟฟิตี้สามารถหยิบเอาทุกประเด็นที่เกิดขึ้นในสังคมออกมาตีแผ่ให้ลูกรู้ผ่านกำแพงที่เป็นเหมือนกระดาษขนาดใหญ่ได้เลยทีเดียว

เป็นช่องทางการสื่อสารของคนชายขอบ

กราฟฟิตี้เป็นช่องทางการแสดงออกของคนชายขอบเพื่อให้พวกเขาได้สื่อสารผ่านศิลปะ ทั้งปัญหาที่พบเจอ ความต้องการต่างๆ และการมีตัวตนในสังคมที่กำลังจะจางหายไป รวมถึงเป็นพื้นที่ในการต่อต้านกระแสหลัก ท้าทายบรรทัดฐานทางสังคม และสร้างพื้นที่สื่อทางเลือกให้กับคนอื่นๆ ในสังคมด้วย

 

 

ทำให้ศิลปะเข้าถึงง่ายขึ้น

กราฟฟิตี้ได้ทำให้ศิลปะเข้าถึงง่ายขึ้นมาก เริ่มจากการนำศิลปะออกจากพื้นที่จำกัดอย่างหอศิลป์หรือพิพิธภัณฑ์ มาสู่พื้นที่สาธารณะที่ผู้คนพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน ทำให้คนที่ไม่เคยสนใจหรือไม่มีโอกาสเข้าถึงงานศิลปะได้ลองสัมผัสกับศิลปะโดยไม่มีข้อจำกัด นอกจากนี้ รูปแบบการนำเสนอของกราฟฟิตี้ที่มักสื่อสารด้วยภาพและสัญลักษณ์ที่เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา เป็นตัวช่วยให้ผู้ชมได้เข้าถึงความหมาย และแนวคิดโดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานความรู้ด้านศิลปะมาก่อน

เกิดการแลกเปลี่ยนมุมมอง

กราฟฟิตี้สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในการรับชมงานศิลปะ เมื่อผู้คนสามารถถ่ายรูปไปแชร์ลงในโซเชียลมีเดียและแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนมุมมองและการตีความที่หลากหลาย รวมถึงสร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่กล้าที่จะสร้างสรรค์งานศิลปะในแบบของตัวเองโดยไม่ถูกจำกัดด้วยกรอบหรือกฎเกณฑ์แบบดั้งเดิม

เป็นจุดแลนด์มาร์กให้ชุมชน

กราฟฟิตี้สร้างเอกลักษณ์เท่ๆ ให้กับพื้นที่ต่างๆ ผ่านงานศิลปะที่มีสีสันและรูปแบบเฉพาะตัว ทำให้สถานที่ที่อาจดูธรรมดากลายเป็นจุดถ่ายภาพและจุดเช็กอินยอดนิยม ดึงดูดให้คนเข้ามาเยี่ยมชมและแชร์ภาพในโซเชียลมีเดีย ช่วยให้พื้นที่นั้นเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น 

นอกจากนี้ การมีงานกราฟฟิตี้ในชุมชน ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา กระตุ้นให้เกิดร้านค้า ร้านอาหาร หรือธุรกิจท้องถิ่นต่างๆ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ส่งผลให้ชุมชนนั้น เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความน่าสนใจมากขึ้นนั่นเอง

 

ตัวอย่างผลงานกราฟฟิตี้จากศิลปินชื่อดังทั่วโลก

ตัวอย่างผลงานกราฟฟิตี้จากศิลปินชื่อดังทั่วโลก

มาดูตัวอย่างผลงานกราฟฟิตี้จากศิลปินชื่อดังทั่วโลก ที่เคยทำให้ทั่วโลกสั่นสะเทือนและถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายกันมาแล้ว จะมางานไหนน่าสนใจบ้าง ไปดูเลย

 

Banksy ศิลปินกราฟฟิตี้ชาวอังกฤษ

Banksy ศิลปินกราฟฟิตี้ชาวอังกฤษ

Banksy ศิลปินนิรนามชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดดเด่นด้วยงานกราฟฟิตี้ที่ใช้เทคนิคสเตนซิล (Stencil) ในการพ่นสี ส่วนใหญ่เป็นภาพขาวดำที่มีการเพิ่มสีสันเพียงหนึ่งหรือสองสีเพื่อเน้นจุดสำคัญ ผลงานของเขามักสอดแทรกประเด็นทางการเมือง สังคม และวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยม 

ผลงานที่โด่งดังที่สุดคือ ‘Girl with Balloon’ ภาพเด็กผู้หญิงปล่อยลูกโป่งหัวใจสีแดง ซึ่งสร้างความฮือฮาเมื่อภาพวาดได้ทำลายตัวเองทันทีหลังการประมูลเสร็จสิ้นในปี 2018 และ ‘Love is in the Air’ ภาพชายโยนช่อดอกไม้แทนระเบิดที่สื่อถึงการต่อต้านความรุนแรง 

แม้ไม่มีใครรู้ว่า Banksy เป็นใคร แต่อิทธิพลของเขาต่อวงการศิลปะและสังคมนั้นปฏิเสธไม่ได้ ผลงานของเขาไม่เพียงมีความสวยงามทางด้านศิลปะเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นให้ผู้คนตั้งคำถาม และตระหนักถึงปัญหาสังคม Banksy จึงกลายมาเป็นหนึ่งในศิลปินร่วมสมัยที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก

 

King Robbo ศิลปินกราฟฟิตี้ชาวอังกฤษ

King Robbo ศิลปินกราฟฟิตี้ชาวอังกฤษ

King Robbo เป็นที่รู้จักกันในนามของ Graffiti Writer ชาวอังกฤษ ที่เป็นคนเบิกทางงานศิลปะแนว Graffiti ให้กับอังกฤษในช่วงปี 80 ในยุคสมัยที่ Graffiti ยังถูกเหมารวมว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่แสดงถึงการบุกรุก การต่อต้าน ที่ถูกนำเข้ามาจากสหรัฐอเมริกา

ผลงานที่โด่งดังของเขาคือ ‘Regent’s Canal’ (1985) เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา อยู่ใต้สะพานในคลอง Regent’s Canal เขต Camden กรุงลอนดอน เป็นหนึ่งในกราฟฟิตี้ที่เก่าแก่ที่สุดในลอนดอนที่อยู่มานานกว่า 24 ปี มีลักษณะเป็นตัวอักษรสไตล์ Old School จากยุค 80 ต่อมาในปี 2009 Banksy ได้วาดทับผลงานชิ้นนี้ จนเกิดเป็นสงคราม ‘Graffiti War’

King Robbo คือคู่ปรับตลอดกาลของ Banksy ที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับงาน Graffiti เสียดสีสังคมที่โด่งดังในเรื่องของความแสบสันที่เรียกเสียงฮือฮาในสังคมอยู่ทุกครั้งไป โดยสงครามของคู่ปรับคู่นี้ถูกแบ่งเป็น Team Banksy และ Team Robbo ซึ่งกินระยะเวลาหลายปี เกิดเป็นเรื่องราวที่โจษจันกันมากในวงการ แถมยังถูกเล่าต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้

 

Blek le Rat ศิลปินชาวฝรั่งเศส

Blek le Rat ศิลปินชาวฝรั่งเศส

Blek le Rat หรือ Xavier Prou ศิลปินชาวฝรั่งเศสที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘บิดาแห่งสตรีตอาร์ต’ เขาเป็นผู้บุกเบิกการใช้เทคนิคสเตนซิลในงานกราฟฟิตี้มาตั้งแต่ปี 1981 โดยเน้นการสร้างภาพขนาดเท่าคนจริงและชอบวาดภาพหนูจนเป็นที่มาของชื่อ

ผลงานที่โดดเด่นได้แก่ ‘The Man Who Walks Through Walls’ ภาพชายในชุดสูทเดินทะลุกำแพงที่สื่อถึงเสรีภาพ ‘David with Kalashnikov’ ที่ดัดแปลงจากรูปปั้น David ถือปืน AK-47 เพื่อวิพากษ์วิจารณ์ความรุนแรง และ ‘Beggar Series’ ที่สะท้อนปัญหาคนไร้บ้านและความเหลื่อมล้ำในสังคม

Blek le Rat เป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังอย่าง Banksy จุดเด่นของเขาคือการสร้างงานที่มีคุณค่าทางสังคม โดยใช้พื้นที่เมืองเป็นแกลเลอรี่กลางแจ้งทำให้ศิลปะเข้าถึงคนทุกระดับ ซึ่งผลงานของเขายังคงมีอิทธิพลต่อวงการสตรีตอาร์ตมาจนถึงปัจจุบัน

 

Lady Pink ศิลปินจากนิวยอร์ค

Lady Pink ศิลปินจากนิวยอร์ค

Lady Pink หรือ Sandra Fabara ศิลปินกราฟฟิตี้หญิงผู้บุกเบิกระดับโลก เกิดในเอกวาดอร์และเติบโตในนิวยอร์ก เริ่มสร้างผลงานตั้งแต่อายุ 15 ปี โดยเฉพาะการเพนต์รถไฟใต้ดินในช่วงปี 1979 – 1985 งานของเธอโดดเด่นด้วยการใช้สีสันสดใส โดยเฉพาะโทนสีชมพูซึ่งเป็นที่มาของชื่อ และการผสมผสานศิลปะชิคาโน่กับสตรีตอาร์ตแบบนิวยอร์กเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

มีผลงานสำคัญได้แก่ ‘The Death of Graffiti’ ภาพบนรถไฟใต้ดินที่สะท้อนการต่อสู้ของวัฒนธรรมกราฟฟิตี้ ‘Women’s Work Series’ ที่ท้าทายภาพจำแบบเดิมๆ ของผู้หญิง และโครงการ ‘Pink Lady’ ที่ร่วมงานกับ Jenny Holzer ผสมผสานกราฟฟิตี้กับศิลปะคอนเซ็ปชวล

ปัจจุบัน Lady Pink เป็นทั้งศิลปินและครูสอนศิลปะ ผลงานของเธอถูกจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ชั้นนำทั่วโลก เธอเป็นแบบอย่างของการยกระดับงานกราฟฟิตี้สู่วงการศิลปะกระแสหลัก โดยยังคงรักษาจิตวิญญาณของสตรีตอาร์ และการสนับสนุนสิทธิสตรีไว้ได้อย่างเข้มแข็ง

 

HEADACHE STENCIL ศิลปินจากเมืองไทย

HEADACHE STENCIL ศิลปินจากเมืองไทย

Headache Stencil ศิลปินกราฟฟิตี้ชาวไทยที่มีชื่อเสียงจากผลงานวิพากษ์การเมืองและสังคม เขามักสร้างผลงานที่สื่อความหมายตรงไปตรงมา ใช้ภาพล้อเลียนและการเสียดสีเพื่อวิจารณ์ประเด็นร่วมสมัยจนได้รับฉายาว่า ‘Banksy เมืองไทย’

ผลงานที่โดดเด่นของเขานั้นรวมถึงภาพนาฬิกาข้อมือหรู ‘Black Panther’ ที่วิพากษ์ประเด็นนาฬิกาหรูของนักการเมือง ภาพ ‘เสือดำ’ ที่สะท้อนการล่าสัตว์ป่าคุ้มครอง และ ‘ริษยาไม่มีวันจบ’ ที่แสดงภาพการต่อสู้ระหว่างคนรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ 

ปัจจุบัน Headache Stencil ยังคงสร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง แม้จะเคยถูกคุกคามจากการวิพากษ์วิจารณ์ผู้มีอำนาจแต่เขาก็ยังใช้ศิลปะเป็นเครื่องมือในการแสดงออกทางการเมืองและสะท้อนปัญหาสังคมจนกลายเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีอิทธิพลที่สุดในประเทศไทย

รวม 5 องค์กรสนับสนุนการสร้างศิลปะในไทย ที่น่าสนใจ

มาดู 5 องค์กร ที่มีส่วนช่วยสนับสนุนการสร้างศิลปะในไทย เพื่อให้ศิลปะยังคงอยู่คู่กับคนไทยไปอีกนานๆ

 

บริษัท ออทิสติกไทย วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด

1. บริษัท ออทิสติกไทย วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด

บริษัท ออทิสติกไทย วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ให้คำนิยามของ ‘ศิลปะ’ ว่าไม่เพียงหมายถึงการวาดภาพ แต่ยังรวมถึงการแสดงออกถึงศักยภาพ พลังความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการที่สร้างความประทับใจให้ผู้อื่น นอกจากนี้ ศิลปะยังช่วยสร้างสมาธิ ความมั่นคงทางจิตใจ และพัฒนาอารมณ์ ทำให้ทั้งผู้สร้างและผู้ชมรู้สึกผ่อนคลายไปพร้อมกัน

จากแนวคิดนี้ ‘ART STORY’ จึงถือกำเนิดขึ้นในฐานะธุรกิจเชิงสังคมของกลุ่มเด็กและบุคคลออทิสติก ภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิออทิสติกไทย พวกเขาร่วมกันสร้างสรรค์ผลงานที่สัมผัสได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด ลายเส้น งานออกแบบ งานฝีมือ กาแฟ เบเกอรี่ และดนตรีไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาทักษะ และเตรียมความพร้อมให้เด็กพิเศษ สามารถประกอบอาชีพ มีรายได้อย่างยั่งยืน และพึ่งพาตัวเองได้ในอนาคต

  • ที่อยู่: ซอยบางพรม 29 แขวงบางพรม เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ
  • เบอร์ติดต่อ: 062-662-6639
  • เว็บไซต์: https://artstorybyautisticthai.com/ 

 

Kanz by thaitor

2. Kanz by thaitor

Kanz by thaitor เป็นแบรนด์เสื้อผ้าบาติกร่วมสมัยที่ก่อตั้งโดย กานต์ศิริ พิทยะปรีชากุล ด้วยแนวคิด One of a Kind Piece ที่สร้างสรรค์ผลงานชิ้นเดียวในโลกที่ไม่สามารถทำซ้ำได้ โดยใช้เทคนิคการทำบาติกแบบเฉพาะ ผสมผสานกับการใช้วัสดุเหลือใช้และเทคนิคดั้งเดิม ใช้ผ้าธรรมชาติในท้องถิ่นและนวัตกรรมผ้าที่ผสมผสานจากวัตถุดิบธรรมชาติ

แบรนด์นี้ยึดหลัก Slow Fashion โดยทำงานร่วมกับชุมชนบ้านร่องซ้อ จังหวัดแพร่ เพื่อสร้างงานฝีมือที่มีคุณภาพและยั่งยืน ผสมผสานผ้าไทยจากภาคต่างๆ เข้ากับงานบาติกสมัยใหม่เพื่อดึงดูดให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจผ้าไทยมากขึ้น นอกจากนี้ ยังเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน สนับสนุนช่างฝีมือท้องถิ่น และร่วมกับเครือข่ายคนรุ่นใหม่ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดแพร่ สร้างความยั่งยืนทั้งด้านงานฝีมือ และชุมชนไปพร้อมๆ กันนั่นเอง

  • ที่อยู่: ถนนร่องซ้อ ตำบลในเวียง อำเภอเมืองแพร่ แพร่ 
  • เบอร์ติดต่อ: 092-191-4462
  • เว็บไซต์: https://kanzbythaitor.com/ 

 

ยาหยี (Yayee)

3. ยาหยี (Yayee)

ยาหยี (Yayee) เป็นแบรนด์ชุดผ้าปาเต๊ะที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2008 โดย วาสิตา น้อยประดิษฐ์ ด้วยความตั้งใจที่จะยกระดับผ้าปาเต๊ะซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของจังหวัดภูเก็ตสู่ระดับสากล แบรนด์นี้โดดเด่นด้วยการผสมผสานแฟชั่นร่วมสมัยเข้ากับลวดลายผ้าปาเต๊ะดั้งเดิม ออกแบบให้มีความเรียบหรูแต่ยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิมไว้ได้อย่างลงตัว

ทุกชิ้นงานของยาหยีผลิตด้วยความพิถีพิถัน เลือกใช้เนื้อผ้าคุณภาพดี ตัดเย็บด้วยมือผ่านเครื่องจักรอย่างประณีต และเป็นสินค้า Home Made ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การนำผ้าปาเต๊ะมาพัฒนาต่อยอดเป็นแฟชั่นร่วมสมัยนี้ ไม่เพียงช่วยอนุรักษ์มรดกท้องถิ่นให้คงอยู่เท่านั้น แต่ยังทำให้วัฒนธรรมภูเก็ตเป็นที่รู้จักในวงกว้าง จนกลายเป็นหนึ่งใน Soft Power ที่สำคัญของจังหวัดภูเก็ต และประเทศไทยเลย

  • ที่อยู่: เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า ชั้น G ตำบลวิชิต อำเภอเมืองภูเก็ต ภูเก็ต
  • เบอร์ติดต่อ: 061-929-8996
  • เว็บไซต์: https://www.yayeephuket.com/

 

Bangkok 1899

4. Bangkok 1899

Bangkok 1899 เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร ก่อตั้งขึ้นในปี 2019 โดยองค์กรศิลปะนานาชาติ (Creative Migration) มีภารกิจในการผสมผสานการทูตทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างความร่วมมือในชุมชน

Bangkok 1899 เป็นศูนย์รวมของกิจกรรมที่หลากหลาย ประกอบไปด้วยพื้นที่จัดอีเวนต์ ศูนย์การเรียนรู้ฟอร์ดเพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม คาเฟ่ปลอดขยะที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น สวนหย่อม พื้นที่สำนักงานและที่พักสำหรับศิลปินนานาชาติ โดยมีโครงการแลกเปลี่ยนศิลปินระหว่างประเทศ ที่เปิดโอกาสให้ศิลปินไทยและต่างชาติได้ร่วมงานและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน ช่วยเปิดโอกาสให้ศิลปินไทยได้แสดงผลงานในเวทีนานาชาติ

  • ที่อยู่: ถนนนครสวรรค์ ป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพ
  • เบอร์ติดต่อ:
  • เว็บไซต์: https://bangkok1899.org/

 

Marionsiam

5. Marionsiam

Marionsiam เป็นแบรนด์เสื้อผ้าผ้าบาติกที่ก่อตั้งในปี 2019 โดย ทยิดา อุนบูรณะวรรณ ด้วยแนวคิด Modern Craft ที่นำงานหัตถกรรมมาพัฒนาในรูปแบบร่วมสมัย เรียบง่าย แต่ให้ความสำคัญกับรายละเอียดการตกแต่งที่พิถีพิถัน โดยเฉพาะการเลือกใช้สีธรรมชาติ เช่น สีฟ้าจากครามสกลนคร สีชมพูอ่อนจากเปลือกมะพร้าว เป็นต้น

แรงบันดาลใจในการสร้างแบรนด์เกิดจากการสังเกตเห็นความคล้ายคลึงกันของลวดลายผ้าบาติกและผ้ามัดย้อมในท้องตลาด แบรนด์จึงต้องการสร้างความแตกต่างโดยนำความรู้จากชุมชนมาพัฒนาต่อยอดและออกแบบให้เป็นเสื้อผ้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ยังคงรักษาเสน่ห์ของงานหัตถกรรมดั้งเดิมไว้ได้ สะท้อนให้เห็นการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นกับการออกแบบสมัยใหม่ได้อย่างกลมกลืน

  • ที่อยู่: ตำบลขนอนหลวง อำเภอบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา
  • เบอร์ติดต่อ: 093-756-3396
  • เว็บไซต์: https://www.marionsiam.com

 

สรุป

กราฟฟิตี้เป็นงานศิลปะที่แสดงออกในพื้นที่สาธารณะ ด้วยการวาด พ่นสี หรือเขียนข้อความลงข้างกำแพง อาคาร และพื้นผิวต่างๆ โดยใช้สีสเปรย์หรือสีอะคริลิกในการสร้างสรรค์ผลงาน และมีหลายสไตล์ทั้ง Wild Style, Bubble Style และ 3D Style นอกจากจะเป็นการแสดงออกทางศิลปะแล้ว ยังสะท้อนความคิด และประเด็นทางสังคม เป็นช่องทางในการสื่อสารของคนชายขอบ ช่วยให้ศิลปะเข้าถึงคนหลากหลายกลุ่ม นำมาสู่การแลกเปลี่ยนความคิด และกลายเป็นจุดแลนด์มาร์กสำหรับการพบปะของผู้คนได้อีกด้วย

Cheewid ขอเป็นอีกหนึ่งแรงในการเชี่ยมโยงระหว่างผู้สร้างการเปลี่ยนแปลง หรือองค์กรต่างๆ กับผู้สนับสนุน เพื่อสนับสนุนศิลปะ ให้อยู่คู่กับคนไทยไปอีกนานๆ พร้อมขับเคลื่อนแนวคิด ให้ศิลปะไม่ได้เป็นเพียงศาสตร์ที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้าถึงได้เท่านั้น แต่เป็นการที่คน ‘ทุกกลุ่ม’ สามารถเข้าถึงได้ด้วย

 

Reference:

  1. ไทยโพสต์. อลังการกราฟฟิตี้ พลิกโฉมโคราชเมืองศิลปะ. thaipost.net. Published 1 December 2023. Retrieved 11 November 2024.
  2. CREATIVETHAILAND. “ศิลปินกราฟฟิตี้” ผู้เสียดสีสังคมยามค่ำคืน. creativethailand.org. Published 30 April 2024. Retrieved 11 November 2024.
  3. SGEPRINT. กราฟฟิตี้ คืออะไร ศิลปะน่ารู้ชวนค้นหา. sgeprint.com. Published 28 April 2021. Retrieved 11 November 2024.
  4. SPACEBAR. กราฟฟิตี้ คืออะไร ศิลปะน่ารู้ชวนค้นหา. spacebar.th. Published 30 January 2024. Retrieved 11 November 2024.
  5. THEREPORTERS. กราฟฟิตี้ ศิลปะ? ว่าด้วยการเมืองบนพื้นที่สาธารณะ. thereporters.co. Published 3 June 2023. Retrieved 11 November 2024.
  6. MGRONLINE. เจาะวิถี “กราฟิตี้” ลึกว่ารอยขีดข้างถนน คืองานศิลป์ระบายความอัดอั้น-ปัญหาสังคม!!. mgronline.com. Published 25 May 2023. Retrieved 11 November 2024.

องค์กรเพื่อสังคมที่เกี่ยวข้อง

logo-บริษัท ออทิสติกไทย วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด

บริษัท ออทิสติกไทย วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด

เพราะคำว่า “ศิลปะ” ไม่ได้หมายถึงการวาดภาพเท่านั้น แต่หมายถึงการที่คนๆ หนึ่ง ได้แสดงออกถึงศักยภาพ พลังความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ  ART STORY ธุรกิจเชิงสังคมของกลุ่มเด็ก และบุคคลออทิสติกที่ร่วมกันรังสรรค์ผลงานจากจินตนาการผ่านภาพและลายเส้นผลงานศิลปะ
banner-Kanz by thaitor
logo-Kanz by thaitor

Kanz by thaitor

Kanz by thaitor เราทำงานร่วมกับชุมชน โดยเป็นงานฝีมือจากคนท้องถิ่นในหมู่บ้านร่องซ้อ จังหวัดแพร่ โดยชาวบ้านร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันสิ่งใหม่ๆ และเทคนิคใหม่ๆ ร่วมกัน เพื่อสนับสนุนช่างฝีมือชุมชน สร้างเศรษฐกิจชุมชน และร่วมกับเครือข่ายคนรุ่นใหม่ในชุมชน
banner-ยาหยี (Yayee)
logo-ยาหยี (Yayee)

ยาหยี (Yayee)

ยาหยี (Yayee) มีความตั้งใจในการผลิตเสื้อผ้าให้มีความคงทนของชุด ผ้าทุกผืนของยาหยีจะผลิตเป็นเนื้อผ้าอย่างดี เสื้อทุกตัวผ่านการตัดเย็บมือด้วยเครื่องจักรเย็บผ้าอย่างพิถีพิถัน และเป็นสินค้า home made ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
logo-Bangkok 1899

Bangkok 1899

Bangkok 1899 เป็นพื้นที่สำหรับการจัดอีเวนต์ ศูนย์การเรียนรู้ฟอร์ดเพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม คาเฟ่ปลอดขยะที่ใช้แต่วัตถุดิบท้องถิ่น และที่พักสำหรับศิลปินนานาชาติ เพื่อเป็นช่องทางให้คนไทยได้ไปสร้างงานศิลปะในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
logo-Marionsiam

Marionsiam

แบรนด์เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายผ้าบาติก โดยรูปแบบสินค้าจะอยู่ภายใต้แนวคิดการออกแบบโมเดิร์นคราฟต์ ซึ่งตระหนักถึงการนําเอางานหัตถกรรมมาทําให้อยู่ในรูปแบบร่วมสมัย เรียบง่าย แต่เน้นรายละเอียดตกแต่งที่มีความพิถีพิถัน