เข้าสู่ระบบ

Table of Contents
Recent Post
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จัก ปัญหาทางเท้าที่คนไทยต้องเจอ ทั้งฟุตบาทไม่ทนทาน รถจักรยานยนต์ ร้านค้าบนทางเท้า การออกแบบที่ไม่คิดถึงผู้พิการและผู้สูงอายุ มาสร้างทางเท้าให้ดี เพื่อชีวิตที่ดีกัน!

ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข
ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักปัญหาว่างงานในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจส่งผลกระทบในวงกว้าง ควรมีทางออกเพื่อเสริมพลังและสร้างโอกาสใหม่ให้คนไทยกลับมายืนหยัดและมีชีวิตที่ดีได้อย่างเข้มแข็ง

Key Takeaway นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คือโครงการจากรัฐบาลที่กำหนดให้ประชาชนเดินทางในเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการได้ในราคาเดียวเพียง 20 บาทตลอดสาย เป้าหมายของโครงการคือสร้างความเท่าเทียม ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสให้คนเมืองทุกกลุ่มเข้าถึงการเดินทางอย่างสะดวก ลดปัญหารถติดและมลพิษ ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาชุมชนเมือง โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของรัฐบาล กรุงเทพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการผลักดันจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่มีวิสัยทัศน์ด้านระบบขนส่งมวลชน เชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้าในราคาคงที่ ช่วยให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ความท้าทายของนโยบายนี้ คือความยั่งยืนทางการเงิน ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลชดเชยผู้ประกอบการ และปัญหาการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า ทุกวันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าทีก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เพราะค่าโดยสารที่สะสมไปแต่ละวันไม่ใช่น้อยๆ เลย แต่ลองคิดดูว่า… ถ้าเราเดินทางไกลแค่ไหนก็จ่ายเพียง 20 บาท จะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากขนาดไหน? ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ! บทความนี้พามาเจาะลึกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน เรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งพนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือแม่ค้าพ่อค้า ที่ต้องใช้รถไฟฟ้าเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางทุกวันแน่นอน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คืออะไร? โครงการค่าโดยสาร 20 บาท คือความตั้งใจง่ายๆ ที่อยากให้การเดินทางสาธารณะเป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน พนักงาน หรือผู้สูงอายุ เรื่องนี้เริ่มต้นจากคำถามว่า “ทำไมคนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงหลายระดับ บางทีแค่ไปทำงานหรือไปเรียนใกล้ๆ ก็ต้องจ่ายราคาเต็ม?” แนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวจึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยลดภาระและทำให้ทุกคนได้รับสิทธิ์เดินทางในราคาเท่ากัน ในปี 2567 ได้เริ่มทำโครงการนำร่องในสายสีแดงและสายสีม่วงแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากเลย ส่วนเรื่องการหาเงินมาจ่ายนั้น รัฐบาลไม่ได้แค่รับภาระทั้งหมดเอง แต่มีการแบ่งงบและจัดสรรเงินมาใช้ชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ให้บริการยังสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ขาดทุน กลไกนี้ช่วยให้ความมั่นคงในการเดินรถยังดำเนินไปได้ โดยรัฐจะพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการจริงและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนเป็นธรรมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจว่าจะทำให้คมนาคมสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเดินทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวที่คนทุกวัยทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ทำไมนโยบายนี้ถึงสำคัญกับคนเมือง? ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทุกวัน การเดินทางในเมืองใหญ่จึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน การมีนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองและหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาได้จริง ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายวันได้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนและคนที่ต้องเดินทางประจำ การกำหนดราคาเดียวช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทางไกล เพิ่มโอกาสในการเดินทางและใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายยังช่วยกระตุ้นให้เกิดชุมชนและธุรกิจใหม่ในเขตชานเมือง เพิ่มความสะดวกและคุณภาพชีวิตในเมืองอย่างยั่งยืน ลดปัญหารถติดและมลพิษ นโยบายนี้ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เมื่อประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ปริมาณรถติดก็ลดลงตามไปด้วย ช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การใช้รถไฟฟ้ายังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ที่สำคัญคือทำให้เมืองน่าอยู่ สะอาด และเดินทางได้คล่องตัวมากขึ้นสำหรับทุกคน สร้างเมืองที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน นโยบายนี้ไม่ได้แค่ทำให้ค่าโดยสารถูกลงเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย นักเรียน หรือผู้สูงอายุ ช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมและเป็นธรรม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทาง และทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นคนทุกกลุ่ม เป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของคนในเมืองใหญ่ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน พร้อมส่งเสริมให้คนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น สร้างความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว ความเท่าเทียมในการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเดินทาง เพราะไม่ว่าคนจะขึ้นรถไฟฟ้ากี่สายหรือต้องเดินทางไกลเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็จ่ายค่าโดยสารราคาเดียว ทำให้ทุกคนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือรัฐบาลช่วยชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ เพื่อรักษาคุณภาพบริการและทำให้นโยบายนี้ดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ นโยบายนี้ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพราะราคาค่าโดยสารที่ถูกลงทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่าย ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลยังร่วมมือกับกรุงเทพฯ ในการพัฒนาระบบตั๋วร่วมและฟีดเดอร์ระบบขนส่ง เช่น รถเมล์ที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการใช้งานระบบได้ครบวงจรขึ้น แก้ปัญหารถติด นโยบายนี้เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้ เมื่อค่าโดยสารถูกลง ผู้คนจะหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่วิ่งบนถนนในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร ยังช่วยลดเวลาการเดินทางและความเครียดของผู้ใช้ถนนด้วย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบขนส่งของเมือง ทำให้การเดินทางสะดวกและราบรื่นขึ้นโดยรวมในระยะยาว เชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมือง นโยบายนี้เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจและชุมชนเมืองเติบโตเป็นระบบ การลดค่าเดินทางช่วยเพิ่มกำลังซื้อและโอกาสทางธุรกิจในชุมชนต่างๆ เนื่องจากผู้คนสามารถเดินทางเข้า - ออกเมืองได้สะดวกและบ่อยขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าหลายสายยังช่วยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้ารวดเร็ว ทำให้ชุมชนต่างๆ มีโอกาสพัฒนาไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เบื้องหลังการผลักดันนโยบาย โครงการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพฯ พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่วางแนวนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ในขณะที่กรุงเทพฯ นำโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผลักดันให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น นโยบายรถไฟฟ้ากับชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นหัวใจของชีวิตคนเมือง ร่วมกับการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและมลพิษ พร้อมผลักดันให้โครงการได้ผลจริงในเชิงปฏิบัติ เช่น การเชื่อมโยงเส้นทางและเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคสังคมมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามผล ทำให้นโยบายนี้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองจริงๆ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท… ความท้าทายและคำถามที่ยังคงอยู่ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แม้จะได้รับการตอบรับอย่างดีและช่วยลดภาระค่าโดยสารของประชาชน แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนทางการเงินหลักๆ เพราะรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ แต่จากการศึกษาพบว่า… ต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายหลักอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อเที่ยว ทำให้นโยบายนี้เป็นไปได้ถ้าบริหารจัดการดีและมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่มั่นคง เช่น การใช้รายได้ภาษีจากภาคขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า โดยเฉพาะสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้และผลประโยชน์ของภาคเอกชน ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนและการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล ปัญหานี้ยังเป็นอุปสรรคที่ต้องเจรจาและหาข้อตกลงร่วมที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทางเลือกและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนานโยบายในอนาคต ได้แก่ การผลักดันกฎหมายตั๋วร่วมเพื่อให้ใช้บริการได้ด้วยบัตรเดียวทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทให้เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความมั่นคงและเข้าถึงได้ง่ายในระยะยาว สรุป นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคนเมือง ทำให้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ช่วยเชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมแก้ไขปัญหารถติดและมลพิษ เพิ่มคุณภาพชีวิตคนเมืองอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกรุงเทพฯ และภาคประชาสังคม ซึ่งบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมและติดตามนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง FAQ – คำถามที่พบบ่อย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทครอบคลุมทุกสายไหม? โครงการนี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) สายสีน้ำเงิน (MRT) สายสีเหลือง สายสีชมพู และ Airport Rail Link (ARL) รวมรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงที่ทำไปแล้วทั้งหมด 8 สาย รวม 13 เส้นทางและกว่า 194 สถานีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางในราคาคงที่เพียง 20 บาทตลอดสาย แม้ต้องเปลี่ยนสายก็จะไม่เกินราคานี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งผลต่อปัญหารถติดในกรุงเทพฯ อย่างไร? นโยบายนี้ช่วยลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เพราะราคาค่าโดยสารถูกลง คุณภาพชีวิตและการเดินทางจึงดีขึ้น ลดความหนาแน่นของการจราจรในช่วงเร่งด่วนได้ ประชาชนมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายนี้ได้อย่างไร? ประชาชนสามารถร่วมลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ และใช้บัตร EMV Contactless หรือบัตร Rabbit แบบ ABT เพื่อยืนยันตัวตน ร่วมกันใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการของระบบขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้นต่อไป
อนาคตเข้าถึงได้! นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท โครงการเปลี่ยนชีวิตคนเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามาเจาะลึกกับนโยบายรถไฟฟ้า20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน

ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน
ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักจากเสียงประชาชนสู่การแก้ไขจริง! Traffy Fondue คือระบบร้องเรียนของ กทม. นำเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวกรุงให้ดีขึ้น

รู้จักการทำ CSR กิจกรรมจากองค์กรที่คืนกำไรให้สังคม

CHEEWID จะพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกับการทำ CSR ว่าคืออะไร ประโยชน์ของการทำ CSR มีอะไรบ้าง ส่งผลดีต่อองค์กร และสังคมอย่างไร รวมถึงแนวทางการทำ CSR ว่าสามารถทำได้อย่างไรบ้าง ไปดูกันได้เลย
รู้จักการทำ CSR กิจกรรมจากองค์กรที่คืนกำไรให้สังคม
Table of Contents

การทำ CSR เริ่มเป็นที่นิยมของหลากหลายองค์กรในปัจจุบัน ไม่ว่าองค์กรขนาดเล็ก หรือองค์กรขนาดใหญ่ โดยมักมีจุดประสงค์เพื่อมอบประโยชน์คืนสู่สังคม หรือเพื่อการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่องค์กร อย่างไรก็ตาม การที่องค์กรต่างๆ เริ่มหันมาสนใจการทำ CSR เพิ่มมากขึ้นนั้น นับว่าเป็นสิ่งที่ดีเป็นอย่างยิ่ง

ทำความรู้จัก การทำ CSR คืออะไร สำคัญยังไง

ทำความรู้จัก การทำ CSR คืออะไร สำคัญยังไง

CSR ย่อมาจาก Corporate Social Responsibility หรืออธิบายได้ว่า CSR คือ แนวคิดที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมขององค์กรต่างๆ ซึ่งจะดำเนินการไปพร้อมๆ กับการประกอบธุรกิจ แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าการทำ CSR ของบริษัทเอกชนนั้น มีความแตกต่างไปจากการทำองค์กรเพื่อการกุศล

โดยความสำคัญของการทำ CSR ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าองค์กรมีการตระหนักถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม และต้องการที่จะให้ความช่วยเหลือสังคม เพื่อการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น หรือเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความตระหนักรู้ให้แก่คนในสังคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยส่งผลดี และเป็นการสร้างประโยชน์กลับคืนให้แก่สังคม นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ธุรกิจ หรือองค์กรเป็นที่รู้จักของคนในสังคม และช่วยต่อยอดให้ธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นในอนาคตได้เช่นกัน

ประโยชน์ของการทำ CSR ต่อองค์กร

ประโยชน์ของการทำ CSR ต่อองค์กร

การทำ CSR ของธุรกิจ หรือองค์กรนั้นมีประโยชน์ต่อสังคมหลายประการ ในขณะเดียวกันการทำ CSR ก็ยังส่งผลดีต่อองค์กรเช่นเดียวกัน โดยประโยชน์ของการทำ CSR มีดังนี้

  • ภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาผู้บริโภค

ปัจจุบันผู้คนจำนวนไม่น้อยมีการเลือกซื้อสินค้า และบริการโดยดูจากภาพลักษณ์ขององค์กร ผู้คนจำนวนมากหันมาให้ความสนใจในปัญหาของสังคม และสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อสินค้า หรือบริการ ก็มักตัดสินใจจากทัศนคติ หรือวิสัยทัศน์ขององค์กรที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับผู้บริโภค ยิ่งธุรกิจใดที่มีการแสดงออกถึงการช่วยเหลือสังคมผ่านการขับเคลื่อนสังคม ให้ความช่วยเหลือชุมชนท้องถิ่น หรือแสดงทัศนคติที่ดีต่อการดูแลสิ่งแวดล้อม ก็จะช่วยให้ผู้บริโภคอยากเข้ามาสนับสนุนสินค้า หรือบริการมากยิ่งขึ้น ดังนั้น ประโยชน์ของการทำ CSR คือ ช่วยทำให้ธุรกิจ หรือองค์กรเป็นที่ดึงดูดผู้คนให้หันมาสนใจในตัวธุรกิจ อีกทั้งผู้บริโภคก็มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้บริโภคที่มีคุณภาพ จนกลายมาเป็นลูกค้าประจำให้กับธุรกิจในที่สุด 

  • ภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาผู้ลงทุน

การทำ CSR ขององค์กร เป็นส่วนช่วยในการดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนกับองค์กร โดยนักลงทุนมักตัดสินร่วมลงทุนกับองค์กรต่างๆ จากการดำเนินการประกอบธุรกิจที่มีคุณภาพภายใต้การคำนึงถึงจริยธรรมขององค์กรต่างๆ ที่มีส่วนในการสร้างสรรค์ หรือพัฒนาสังคม เพราะเป็นสิ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้เป็นอย่างดี  อีกทั้งการที่บริษัทมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อสังคม มีการแสดงออกถึงความมุ่งมั่นขององค์กรที่ต้องการช่วยเหลือ และรับผิดชอบต่อสังคมนั้น ก็ช่วยทำให้นักลงทุนตัดสินใจร่วมลงทุนได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน เนื่องจากการคาดการณ์ถึงผลประกอบการที่จะให้ผลตอบแทนที่สูงขึ้นต่อองค์กร และนักลงทุน

  • ภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของพนักงาน

การทำ CSR ในองค์กรจะช่วยสร้างคุณค่า และค่านิยมที่ดีในการทำงานภายในองค์กรให้แก่พนักงาน โดยจะช่วยทำให้บริษัท และพนักงานมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และสามารถทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดี ตลอดจนช่วยทำให้พนักงานรู้สึกมีส่วนร่วม และมีความผูกพันเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรได้ เนื่องจากการตัดสินใจของพนักงานที่มีต่อการทำงานนั้น มีความคล้ายคลึงกับการตัดสินใจบริโภคของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญต่อทัศนคติของตนเองกับองค์กร ดังนั้น ภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของพนักงาน จึงเป็นประโยชน์ของการทำ CSR ที่ส่งผลดีต่อการดำเนินการภายในองค์กรได้ด้วยเช่นกัน 

  • องค์กรมีความเป็นมาตรฐาน

การทำ CSR ส่งผลดีในด้านมาตรฐานองค์กร และเป้าหมายของการดำเนินกิจการเพื่อความเป็นมาตรฐานสากลเนื่องจากในปัจจุบัน การทำ CSR และการพัฒนาอย่างยั่งยืน กำลังถูกสร้างขึ้นโดยองค์กรระดับโลกต่างๆ เช่น The United Nations Global Compact (UNGC), United Nations Sustainable Development Goals (UN SDGs) และ International Sustainability Standards Board (ISSB) ซึ่งจะช่วยทำให้องค์กรต่างๆ สามารถเข้าถึงรายงานทางการเงินที่จะถูกเปิดเผยอย่างโปร่งใส ไร้ความกังวลในการดำเนินกิจการ รวมไปถึงช่วยแนะนำให้องค์กรต่างๆ มีองค์ความรู้เกี่ยวกับการทำ CSR หรือการทำอาสาสมัครต่างๆ ตลอดจนการเสนอให้ผู้ประกอบธุรกิจมีการเปิดเผยการดำเนินการอย่างโปร่งใส เพื่อคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสังคม และเพื่อให้การดำเนินการตอบแทนสังคมเกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง 

ประเภทของ CSR การทำ CSR ด้านสิ่งแวดล้อม การทำ CSR ด้านจริยธรรม การทำ CSR ด้านการกุศล การทำ CSR ด้านเศรษฐกิจ

ประเภทของ CSR 

การทำ CSR ในองค์กรมีอยู่  4 ประเภทด้วยกัน โดยเราจะยกตัวอย่างการทำ CSR ทั้ง 4 ประเภทให้ผู้อ่านได้ศึกษาเพิ่มเติม ดังนี้

1. การทำ CSR ด้านสิ่งแวดล้อม

การมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม นับว่าเป็นหนึ่งในความรับผิดชอบสำคัญที่หลากหลายองค์กรต้องให้ความสนใจ เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นแหล่งกำเนิดทรัพยากรต่างๆ ในการผลิตหลากหลายภาคส่วน โดยการทำ CSR ด้านสิ่งแวดล้อมแบบเชิงรุกในการอนุรักษ์ก็เพื่อทำให้ผลกระทบสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยบริษัทหรือองค์กรต่างๆ สามารถสร้างความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมได้หลากหลายวิธี 

ตัวอย่างการทำ CSR ด้านสิ่งแวดล้อม

  • ลดการปล่อยของเสีย เนื่องจากการย่อยสลายของเสียต่างๆ จำเป็นต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมากในการย่อยสลาย ซึ่งทำให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่ทำลายความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อมได้
  • รีไซเคิลวัสดุ สิ่งของต่างๆ ในกระบวนการทำงาน หรือกระบวนการผลิต โดยการใช้วัสดุ และสิ่งของต่างๆ ให้คุ้มค้าตามประสิทธิภาพการใช้งาน หรือหากเกิดการชำรุดเสียหาย ควรเลือกใช้วิธีการซ่อมแซม หรือเปลี่ยนแปลงสภาพให้กลับมาใช้ประโยชน์ได้ดั่งเดิม รวมถึงใช้แนวทางการใช้ซ้ำในการโปรโมตให้แก่ผู้บริโภคได้รับทราบ และตระหนักถึงคุณค่าของสิ่งของได้ด้วยเช่นกัน
  • การชดเชยธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมโดยการเติมเต็มความสมบูรณ์ของสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้คืน หรือการเรียนรู้ที่จะประหยัดพลังงานต่างๆ ในที่ทำงาน เป็นต้น 
  • ใช้กระบวนการผลิต และกระจายสินค้าที่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติอย่างรอบด้าน 
  • ริเริ่มผลิตสินค้ารักษ์โลก สร้างคุณค่าของสินค้า และบริการให้มีภาพลักษณ์ของสินค้าและธุรกิจรักษ์โลกรักษ์สิ่งแวดล้อม 

องค์กรที่ทำ CSR ด้านสิ่งแวดล้อม

  • Coca-Cola มีแนวทางการทำ CSR ด้านสิ่งแวดล้อมโดยการใช้บรรจุภัณฑ์ที่มีการคำนึงถึงความยั่งยืนของธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นบริษัทแรกเลยก็ว่าได้ที่มีการใช้ขวดที่สามารถย่อยสลายได้ 100% อีกทั้งยังมีการตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2030 จะลดปริมาณการปล่อย Carbon Footprint ลง 25%
  • Johnson & Johnson ได้มีการมุ่งเน้นการทำ CSR ด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้ประโยชน์จากพลังงานลม และการจัดหาทรัพยากรน้ำเพื่อการผลิต ซึ่งช่วยลดมลพิษทางอากาศได้เป็นอย่างดี โดยมีการตั้งเป้าหมายว่าในกระบวนการผลิตต้องมีความยั่งยืน และสามารถเติมเต็มความสมบูรณ์สู่สภาพแวดล้อมได้ด้วยการใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2025
  • Ford Motor Company มีการทำ CSR ในองค์กรโดยการลงทุนเพื่อการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากเดิม และมีการตั้งเป้าหมายถึงยานพาหนะภายใต้แบรนด์ไว้ว่าต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และจะปรับปริมาณคาร์บอนให้มีความเหมาะสมภายในปี 2050

2. การทำ CSR ด้านจริยธรรม

การทำ CSR ในด้านจริยธรรมเพื่อทำให้บริษัท และองค์กรต่างๆ มีการประกอบกิจการอย่างเป็นธรรม และเท่าเทียม ไม่ว่าจะเป็นจริยธรรมในการดำเนินการ ความเป็นธรรม และการไม่เลือกปฏิบัติต่อพนักงาน โดยเป็นการมอบโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน รวมถึงมีความเป็นธรรมต่อนักลงทุน ซัพพลายเออร์ รวมถึงลูกค้าด้วยเช่นกัน ซึ่งการทำ CSR ด้านจริยธรรมนี้เองจะส่งเสริมทำให้องค์กรมีการปฏิบัติงานที่สร้างสรรค์ และมีวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น 

ตัวอย่างการทำ CSR ด้านจริยธรรม

  • มีความเป็นธรรม และไม่เลือกปฏิบัติต่อผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็นด้านอายุ เชื้อชาติ วัฒรธรรม หรือเพศ 
  • ปฏิบัติต่อพนักงานทุกคนอย่างเท่าเทียม ให้ค่าตอบแทนที่เป็นธรรม ตลอดจนมอบสิทธิ และผลประโยชน์ต่างๆ ให้แก่พนักงานตามความสมควรโดยไม่เลือกปฏิบัติ 
  • ให้ความสำคัญ และความเท่าเทียมต่อซัพพลายเออร์ หรือเลือกใช้ซัพพลายเออร์ที่มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น แม้มีความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ เพศ ประสบการณ์ หรือฐานะทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน แต่ก็ให้ความเท่าเทียมเพื่อการทำงานร่วมกันได้ 
  • มีการเปิดเผยข้อมูล หรือสถานการณ์ขององค์กรอย่างโปร่งใสต่อนักลงทุน รวมถึงมีการให้เกียรติแก่นักลงทุน โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวระหว่างองค์กรกับนักลงทุน 

องค์กรที่ทำ CSR ด้านจริยธรรม

  • Microsoft มีการทำ CSR ด้านจริยธรรมด้วยการร่วมมือกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ด้วยการทำงานระดมทุนผ่านโปรมแกรม ซึ่งระดุมทุนได้มากกว่า 255 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งยังได้ก่อตั้งโครงการ Microsoft Philanthropies ซึ่งเป็นโครงการที่ทำงานเพื่อสังคม เพื่อให้ความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีต่อคนในสังคมด้วยเช่นกัน 
  • LEGO ได้แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมทางด้านจริยธรรมด้วยการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการช่วยเหลือสังคมในด้านต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพลาสติกเพื่อการใช้พลาสติกหมุนเวียนที่จะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้ง LEGO ยังเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้เด็ก และเยาวชนทั่วโลกสามารถเข้าถึงการเล่นไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้ผ่าน LEGO ได้ 
  • Google มีการทำ CSR ในองค์กรที่หลากหลาย ไม่เพียงแต่แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้พลังงานน้อยลงกว่าที่อื่นๆ ในโลกมากถึง 50% แต่ในขณะเดียวกัน Google ยังแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมผ่านการเป็นกระบอกเสียง และยืนหยัดต่อสู้เพื่อความถูกต้องในสังคมอีกด้วย

3. การทำ CSR ด้านการกุศล

การทำ CSR ด้านการกุศล คือ การที่บริษัทหรือองค์กรต่างๆ นำผลกำไร หรือทรัพย์สินบางส่วนของบริษัทมอบให้แก่สังคมผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือองค์กรบางแห่งอาจมีการจัดตั้งหน่วยงาน หรือแผนกเพื่อการดูแลกิจกรรม CSR โดยเฉพาะ เพื่อมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาสังคมให้สอดคล้องกับทัศนคติขององค์กรได้เช่นกัน อีกทั้งบางองค์กรยังมีส่วนช่วยในการทำการวิจัย ศึกษาวิเคราะห์ปัญหาในสังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อทำให้เกิดเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาต่อไปในอนาคตได้ 

ตัวอย่างการทำ CSR ด้านการกุศล

  • การที่บริษัทหรือหน่วยงานมีการบริจาค หรือสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ให้กับองค์กรการกุศล
  • การให้ความร่วมมือ และส่งเสริมองค์กรการกุศลตามวิสัยทัศน์ หรือทัศนคติของบริษัทที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับองค์กรการกุศล 
  • องค์กรให้ความช่วยเหลือแก่พนักงานอย่างทันท่วงทีตามความเหมาะสมของพนักงาน ก็นับได้ว่าเป็นการทำ CSR ในอีกรูปแบบหนึ่งเช่นกัน เพราะพนักงานทุกคนล้วนเป็นพลเมืองโลก และเป็นบุคลากรที่องค์กรควรให้ความสำคัญไม่ต่างจากพลเมืองคนอื่นๆ 
  • การทำ CSR ด้านการกุศลอีกอย่างหนึ่งสำหรับองค์กร คือ การเข้าไปช่วยเหลือ และระดมทุนเพื่อกิจกรรมงานการกุศลต่างๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือถูกส่งต่อไปยังผู้ที่ต้องการได้ 

องค์กรที่ทำ CSR ด้านการกุศล 

  • Apple ได้ทำกิจกรรม CSR การกุศลผ่านการบริจาครายได้กว่า 125 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ และใช้เวลาเพื่อการทำงานอาสาสมัครมากกว่า 250,000 ชั่วโมง ผ่านการทำโครงการเพื่อการกุศลของบริษัทเพื่อตอบแทนผลประโยชน์ให้แก่สังคม
  • Walmart เป็นองค์กรที่มีการทำ CSR ผ่านการร่วมบริจาคข้าวของ เครื่องใช้รวมไปถึงอาหารที่ยังคงมีคุณภาพไปสู่ผู้คนในสังคม ผ่านการร่วมมือกับองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร และมีความร่วมมือกับเครือข่ายการขนส่งที่มีคุณภาพ เพื่อทำให้ผู้คนสามารถได้รับอาหารที่มีคุณประโยชน์เพื่อการดำเนินชีวิต 
  • Dell มีการทำ CSR โดยการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เคยถูกทิ้งกลับมาสร้างมูลค่ากว่า 2 พันล้าน ปอนด์ อีกทั้งยังมีการทำกิจกรรมอาสา ซึ่งสะสมเวลาได้กว่า 5 ล้านชั่วโมงในช่วงตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา รวมไปถึงมีการบริจาครายได้ให้แก่องค์กรเพื่อการกุศลด้วยเช่นกัน 

4. การทำ CSR ด้านเศรษฐกิจ 

การทำ CSR ด้านเศรษฐกิจ เป็นการแสดงความรับผิดชองทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังต้องมีการผสมผสานการทำงานภายใต้การมีจริยธรรมในการดำเนินการที่ดีด้วยเช่นกัน โดยการดำเนินกิจการแบบนี้จะเป็นการคำนึงถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจขององค์กร ร่วมกับการคำนึงถึงผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อชุมชน และสังคม เพื่อให้ธุรกิจสามารถเติบโตไปได้พร้อมๆ กับการช่วยพัฒนาสังคมไปสู่ความก้าวหน้าได้อย่างยั่งยืน 

ตัวอย่างการทำ CSR ด้านเศรษฐกิจ 

  • ทำการวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองต่อการก้าวหน้าไปสู่ความยั่งยืน
  • การจัดหาพนักงานที่มีคุณภาพ และมีความสามารถที่หลากหลายเพื่อการพัฒนาธุรกิจ
  • การจัดอบรมพนักงงานให้ตระหนักรู้ถึงปัญหาสังคม และสิ่งแวดล้อม 
  • ลงทุนกับกระบวนประกอบกิจการอย่างคุ้มค่า เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
  • การดำเนินการตรวจสอบ และเปิดเผยความเคลื่อนไหวทางการเงินอย่างโปร่งใส และสม่ำเสมอ ทั้งภายในองค์กร หรือภายนอกองค์กรที่มีส่วนร่วม 

องค์กรที่ทำ CSR ด้านการเศรษฐกิจ

  • Heineken มีการทำ CSR ด้านเศรษฐกิจผ่านการสนับสนุน และเพิ่มพูนศักยภาพของบุคลากรภายในองค์กร โดยมีการอบรม และให้ความสำคัญในการเพิ่มพูนทักษะในการทำงานให้แก่พนักงานใหม่ ด้วยความช่วยเหลือ และความร่วมมือจากพนักงานที่มีประสบการณ์ อีกทั้งการทำงานภายในองค์กรยังมีความเสมอภาค และไม่แบ่งแยก เพื่อให้การทำงานของพนักงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • Amazon ได้ดำเนินการจัดทำโครงการฝึกอบรมพนักงานที่อาจขาดทักษะในด้านเทคนิค หรือเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มศักยภาพ และความมั่นใจในการทำงานให้แก่พนักงาน อีกทั้งพนักงานยังได้รับการปรับเปลี่ยน เพื่อให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพภายใต้บทบาทที่เหมาะสมต่อทักษะของตนเอง โดย Amazon เชื่อว่าการลงทุนเพื่อการเสริมสร้างบุคลากรในองค์กร เป็นหนึ่งในการลงทุนที่มีความคุ้มค่า และสำคัญเป็นอย่างยิ่ง 
  • City National Bank เป็นองค์กรที่ได้รับการเสนอชื่อให้เป็น “Best Employers for Women” และเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Most Powerful Women in Banking and Finance” ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ภายในองค์กรยังมีโครงพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างพนักงาน เพื่อสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยให้แก่พนักงานในการเรียนรู้ทักษะระหว่างกันอีกด้วย

CSR ของธุรกิจ บริษัททำ CSR

ธุรกิจจะเริ่มทำ CSR ได้อย่างไร 

ขั้นตอนการทำ CSR มี 7 ขั้นตอนหลักๆ ด้วยกัน ดังนี้ 

  1. ศึกษา และหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำ CSR ก่อนการลงมือทำ รวมถึงวิเคราะห์การทำงานที่จะเกิดขึ้นต่อสังคม เนื่องจากผลกระทบที่เกิดขึ้น ย่อมส่งผลต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมทั้งในทางตรง และในทางอ้อม ดังนั้น ความรู้และความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับการทำ CSR จึงสำคัญอย่างยิ่ง ตลอดจนวิสัยทัศน์ และทัศนคติขององค์กรที่มีต่อปัญหาสังคมเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน 
  2. หาการสนับสนุน และความร่วมมือจากทั้งภายในองค์กร และภายนอกองค์กร โดยเริ่มต้นจากการสำรวจความคิดเห็นของคนภายในองค์กรต่อการทำ CSR และหาการสนับสนุนจากองค์กร หรือชุมชนภายนอกที่มีแนวคิดที่คล้ายคลึงกัน เพื่อทำให้การดำเนินงานเป็นไปได้อย่างราบรื่น 
  3. พัฒนาแผนการ และแนวทางในการทำ CSR ซึ่งการวางแผนก็ต้องเป็นไปตามทัศนคติ และวิสัยทัศน์ขององค์กร โดยอาจเริ่มต้นจากการดำเนินการทีละเล็กทีละน้อย แล้วจึงค่อยๆ สร้างผลลัพธ์ให้ขยายกว้างขึ้นได้ในอนาคต 
  4. สร้างกลยุทธ์ที่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการทำ CSR ในประเภทใดก็ตาม ซึ่งการสร้างกลยุทธ์จะช่วยทำให้การดำเนินการมีแนวทางที่ชัดเจน อีกทั้งในระหว่างการดำเนินการก็ต้องมีการตรวจสอบ และวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 
  5. ต้องมั่นใจว่าการทำ CSR ในครั้งนี้จะเป็นการคืนประโยชน์ และสร้างผลลัพธ์ในระยะยาวให้แก่สังคม และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น การดำเนินการจึงต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนต่อผลลัพธ์ในอนาคต
  6. คำนวณหรือวัดระดับผลลัพธ์ในการทำ CSR อยู่เสมอๆ เพื่อช่วยในการวางแผนในขั้นต่อไป หรือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการให้ดีมากยิ่งขึ้น 
  7. มีการติดต่อสัมพันธ์กับองค์กรต่างๆ ที่ร่วมมือกันในการทำ CSR อยู่เป็นประจำ เพื่อรักษาความสัมพันธ์ในการร่วมมือที่ดี และเพื่อที่ยกระดับ หรือสร้างผลลัพธ์ด้านบวกคืนให้แก่สังคม และสิ่งแวดล้อมต่อไป 

สรุป

Corporate Social Responsibility หรือ CSR คือการที่บริษัท และองค์กรต่างๆ ได้แสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อมผ่านการดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือสังคม โดยประโยชน์ที่เกิดขึ้นก็เพื่อสร้างผลลัพธ์อันดีให้กับสังคม รวมถึงบางโครงการก็เพื่อช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังช่วยให้เกิดผลประโยชน์ที่ดีต่อการประกอบธุรกิจด้วย โดยหลากหลายบริษัทระดับโลกก็ได้ให้ความสำคัญต่อการทำ CSR เป็นอย่างยิ่ง เช่น บริษัท Microsft, Google หรือ Apple เป็นต้น 

เราทุกคนเองก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการทำ CSR หรือการช่วยเหลือ และตอบแทนสังคมได้ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นในนามบริษัทเท่านั้น ซึ่งสามารถทำได้ผ่านการเข้าไปเป็นอาสาสมัคร บริจาคสิ่งของที่ไม่ได้ใช้แล้วแต่ยังมีสภาพดีอยู่ หรือร่วมสนับสนุนเงินทุนผ่านการบริจาคในโครงการต่างๆ โดย Cheewid เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยให้ทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ CSR ต่างๆ ได้ โดย Cheewid เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร และเป็นตัวกลางที่ช่วยให้ความช่วยเหลือของทุกคนถูกส่งต่อไปยังหน่วยงานเพื่อสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม และผู้รับได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

Reference:

  1. Apiday. 4 reasons companies should adopt Corporate Social Responsibility (CSR). apiday.com. Published on 13 June 2023. Retrieved 22 July 2023. 
  2. Benevity. The 4 main types of corporate social responsibility your business should consider (and why). Benevity.com. Retrieved 22 July 2023. 
  3. Digital Marketing Institute. 16 Brands Doing Corporate Social Responsibility Successfully. Digitalmarketinginstitute.com. Published on 10 November 2022. Retrieved 22 July 2023. 
  4. Hannah Durbin. 12 Socially Responsible Companies to Applaud. Classy.org. Published on 11 April 2023. Retrieved 22 July 2023. 
  5. Indeed Career Guide. 4 types of corporate social responsibility and its benefits. Uk.indeed.com. Published on 23 March 2023. Retrieved 22 July 2023.
  6. Jason Fernado. Corporate Social Responsibility (CSR) Explained With Examples. Investopedia.com. Published on 18 July 2023. Retrieved 22 July 2023.
  7. Lexi Croswell. How to launch a corporate social responsibility program. Cultureamp.com. Retrieved 23 July 2023.
  8. Odyssey Teams. 20 Inspiring Corporate Philanthropy Examples. Published on 02 February 2023. Retrieved 23 July 2023.
  9. Paul Perry. How to Start a CSR (Corporate Social Responsibility) Program. Blog.submittable.com. Published on 12 December 2019. Retrieved 23 July 2023.
  10. Together. 10 Companies with exceptional employee development programs. Togetherplatform.com. Published on 29 April 2022. Retrieved 23 July 2023.
  11. Transparent Hands. Different Types of Corporate Social Responsibility (CSR). transparenthands.org. Published on 10 September 2018. Retrieved 23 July 2023.
  12. UNITED NATIONS INDUSTRIAL DEVELOPMENT ORGANIZATION. Corporate Social Responsibility. Unido.org. Retrieved 22 July 2023.