เข้าสู่ระบบ

Table of Contents
Recent Post
Key Takeaway นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คือโครงการจากรัฐบาลที่กำหนดให้ประชาชนเดินทางในเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการได้ในราคาเดียวเพียง 20 บาทตลอดสาย เป้าหมายของโครงการคือสร้างความเท่าเทียม ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสให้คนเมืองทุกกลุ่มเข้าถึงการเดินทางอย่างสะดวก ลดปัญหารถติดและมลพิษ ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาชุมชนเมือง โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของรัฐบาล กรุงเทพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการผลักดันจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่มีวิสัยทัศน์ด้านระบบขนส่งมวลชน เชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้าในราคาคงที่ ช่วยให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ความท้าทายของนโยบายนี้ คือความยั่งยืนทางการเงิน ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลชดเชยผู้ประกอบการ และปัญหาการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า ทุกวันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าทีก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เพราะค่าโดยสารที่สะสมไปแต่ละวันไม่ใช่น้อยๆ เลย แต่ลองคิดดูว่า… ถ้าเราเดินทางไกลแค่ไหนก็จ่ายเพียง 20 บาท จะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากขนาดไหน? ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ! บทความนี้พามาเจาะลึกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน เรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งพนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือแม่ค้าพ่อค้า ที่ต้องใช้รถไฟฟ้าเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางทุกวันแน่นอน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คืออะไร? โครงการค่าโดยสาร 20 บาท คือความตั้งใจง่ายๆ ที่อยากให้การเดินทางสาธารณะเป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน พนักงาน หรือผู้สูงอายุ เรื่องนี้เริ่มต้นจากคำถามว่า “ทำไมคนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงหลายระดับ บางทีแค่ไปทำงานหรือไปเรียนใกล้ๆ ก็ต้องจ่ายราคาเต็ม?” แนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวจึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยลดภาระและทำให้ทุกคนได้รับสิทธิ์เดินทางในราคาเท่ากัน ในปี 2567 ได้เริ่มทำโครงการนำร่องในสายสีแดงและสายสีม่วงแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากเลย ส่วนเรื่องการหาเงินมาจ่ายนั้น รัฐบาลไม่ได้แค่รับภาระทั้งหมดเอง แต่มีการแบ่งงบและจัดสรรเงินมาใช้ชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ให้บริการยังสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ขาดทุน กลไกนี้ช่วยให้ความมั่นคงในการเดินรถยังดำเนินไปได้ โดยรัฐจะพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการจริงและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนเป็นธรรมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจว่าจะทำให้คมนาคมสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเดินทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวที่คนทุกวัยทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ทำไมนโยบายนี้ถึงสำคัญกับคนเมือง? ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทุกวัน การเดินทางในเมืองใหญ่จึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน การมีนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองและหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาได้จริง ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายวันได้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนและคนที่ต้องเดินทางประจำ การกำหนดราคาเดียวช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทางไกล เพิ่มโอกาสในการเดินทางและใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายยังช่วยกระตุ้นให้เกิดชุมชนและธุรกิจใหม่ในเขตชานเมือง เพิ่มความสะดวกและคุณภาพชีวิตในเมืองอย่างยั่งยืน ลดปัญหารถติดและมลพิษ นโยบายนี้ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เมื่อประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ปริมาณรถติดก็ลดลงตามไปด้วย ช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การใช้รถไฟฟ้ายังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ที่สำคัญคือทำให้เมืองน่าอยู่ สะอาด และเดินทางได้คล่องตัวมากขึ้นสำหรับทุกคน สร้างเมืองที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน นโยบายนี้ไม่ได้แค่ทำให้ค่าโดยสารถูกลงเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย นักเรียน หรือผู้สูงอายุ ช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมและเป็นธรรม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทาง และทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นคนทุกกลุ่ม เป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของคนในเมืองใหญ่ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน พร้อมส่งเสริมให้คนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น สร้างความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว ความเท่าเทียมในการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเดินทาง เพราะไม่ว่าคนจะขึ้นรถไฟฟ้ากี่สายหรือต้องเดินทางไกลเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็จ่ายค่าโดยสารราคาเดียว ทำให้ทุกคนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือรัฐบาลช่วยชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ เพื่อรักษาคุณภาพบริการและทำให้นโยบายนี้ดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ นโยบายนี้ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพราะราคาค่าโดยสารที่ถูกลงทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่าย ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลยังร่วมมือกับกรุงเทพฯ ในการพัฒนาระบบตั๋วร่วมและฟีดเดอร์ระบบขนส่ง เช่น รถเมล์ที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการใช้งานระบบได้ครบวงจรขึ้น แก้ปัญหารถติด นโยบายนี้เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้ เมื่อค่าโดยสารถูกลง ผู้คนจะหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่วิ่งบนถนนในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร ยังช่วยลดเวลาการเดินทางและความเครียดของผู้ใช้ถนนด้วย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบขนส่งของเมือง ทำให้การเดินทางสะดวกและราบรื่นขึ้นโดยรวมในระยะยาว เชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมือง นโยบายนี้เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจและชุมชนเมืองเติบโตเป็นระบบ การลดค่าเดินทางช่วยเพิ่มกำลังซื้อและโอกาสทางธุรกิจในชุมชนต่างๆ เนื่องจากผู้คนสามารถเดินทางเข้า - ออกเมืองได้สะดวกและบ่อยขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าหลายสายยังช่วยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้ารวดเร็ว ทำให้ชุมชนต่างๆ มีโอกาสพัฒนาไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เบื้องหลังการผลักดันนโยบาย โครงการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพฯ พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่วางแนวนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ในขณะที่กรุงเทพฯ นำโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผลักดันให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น นโยบายรถไฟฟ้ากับชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นหัวใจของชีวิตคนเมือง ร่วมกับการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและมลพิษ พร้อมผลักดันให้โครงการได้ผลจริงในเชิงปฏิบัติ เช่น การเชื่อมโยงเส้นทางและเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคสังคมมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามผล ทำให้นโยบายนี้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองจริงๆ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท… ความท้าทายและคำถามที่ยังคงอยู่ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แม้จะได้รับการตอบรับอย่างดีและช่วยลดภาระค่าโดยสารของประชาชน แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนทางการเงินหลักๆ เพราะรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ แต่จากการศึกษาพบว่า… ต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายหลักอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อเที่ยว ทำให้นโยบายนี้เป็นไปได้ถ้าบริหารจัดการดีและมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่มั่นคง เช่น การใช้รายได้ภาษีจากภาคขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า โดยเฉพาะสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้และผลประโยชน์ของภาคเอกชน ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนและการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล ปัญหานี้ยังเป็นอุปสรรคที่ต้องเจรจาและหาข้อตกลงร่วมที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทางเลือกและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนานโยบายในอนาคต ได้แก่ การผลักดันกฎหมายตั๋วร่วมเพื่อให้ใช้บริการได้ด้วยบัตรเดียวทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทให้เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความมั่นคงและเข้าถึงได้ง่ายในระยะยาว สรุป นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคนเมือง ทำให้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ช่วยเชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมแก้ไขปัญหารถติดและมลพิษ เพิ่มคุณภาพชีวิตคนเมืองอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกรุงเทพฯ และภาคประชาสังคม ซึ่งบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมและติดตามนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง FAQ – คำถามที่พบบ่อย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทครอบคลุมทุกสายไหม? โครงการนี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) สายสีน้ำเงิน (MRT) สายสีเหลือง สายสีชมพู และ Airport Rail Link (ARL) รวมรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงที่ทำไปแล้วทั้งหมด 8 สาย รวม 13 เส้นทางและกว่า 194 สถานีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางในราคาคงที่เพียง 20 บาทตลอดสาย แม้ต้องเปลี่ยนสายก็จะไม่เกินราคานี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งผลต่อปัญหารถติดในกรุงเทพฯ อย่างไร? นโยบายนี้ช่วยลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เพราะราคาค่าโดยสารถูกลง คุณภาพชีวิตและการเดินทางจึงดีขึ้น ลดความหนาแน่นของการจราจรในช่วงเร่งด่วนได้ ประชาชนมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายนี้ได้อย่างไร? ประชาชนสามารถร่วมลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ และใช้บัตร EMV Contactless หรือบัตร Rabbit แบบ ABT เพื่อยืนยันตัวตน ร่วมกันใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการของระบบขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้นต่อไป
อนาคตเข้าถึงได้! นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท โครงการเปลี่ยนชีวิตคนเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามาเจาะลึกกับนโยบายรถไฟฟ้า20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน

ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน
ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักจากเสียงประชาชนสู่การแก้ไขจริง! Traffy Fondue คือระบบร้องเรียนของ กทม. นำเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวกรุงให้ดีขึ้น

ปัญหาขยะในทะเล ภัยเงียบทำลายทะเลไทยที่สังคมควรตระหนัก
ปัญหาขยะในทะเล ภัยเงียบทำลายทะเลไทยที่สังคมควรตระหนัก

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักปัจจุบันปัญหาขยะในทะเลไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตสัตว์และระบบนิเวศใต้ทะเลอย่างมาก พร้อมอธิบายวิธีแก้ปัญหา ลดขยะในทะเล

กฎหมายคุ้มครองเด็กในประเทศไทย กับการแก้ปัญหาความรุนแรง
กฎหมายคุ้มครองเด็กในประเทศไทย กับการแก้ปัญหาความรุนแรง

บทความนี้ CHEEWID จะพาทุกคนมารู้จักเจาะลึกประเด็นสำคัญของกฎหมายคุ้มครองเด็กในประเทศไทย ทำความเข้าใจสิทธิพื้นฐานที่เด็กควรได้รับตามหลักสากล แล้วมาดูตัวอย่างการละเมิดสิทธิเด็กที่พบได้ในสังคม

เปิดรายชื่อสัตว์ป่าสงวน คืออะไร มีกี่ชนิดในไทย อะไรบ้าง

CHEEWID พามาทำความรู้จักกับสัตว์ป่าสงวนและสัตว์ป่าคุ้มครอง เหมือนหรือต่างกันอย่างไร พร้อมทั้งมาดูกันว่ามีกี่ชนิด และปัจจัยที่ทำให้เข้าเกณฑ์สัตว์สงวนมีอะไรบ้าง
Table of Contents

โดยปกติแล้ว สัตว์ป่า หมายถึง สัตว์ที่มีการดำรงชีวิตกันอยู่ตามธรรมชาติ หรืออยู่ในป่าที่ถือว่าเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย และเป็นพื้นที่ใช้ชีวิตหากินอย่างสงบสุขตามสภาพแวดล้อม รวมถึง เป็นสัตว์ที่ใช้ชีวิตไปตามระบบนิเวศ มีการขยายพันธุ์เองตามฤดูกาล ส่วนสัตว์ป่าที่มีพระราชบัญญัติคุ้มครองอยู่นั้น จะมีอยู่ 2 รูปแบบ ได้แก่ พระราชบัญญัติคุ้มครองสัตว์ป่าสงวน และสัตว์ป่าที่ขึ้นชื่อบัญชีคุ้มครองจากกฎกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือที่เรียกกันว่า สัตว์ป่าคุ้มครอง

ทำความเข้าใจ สัตว์ป่าสงวน กับ สัตว์ป่าคุ้มครอง ต่างกันยังไง

ทำความเข้าใจ สัตว์ป่าสงวน กับ สัตว์ป่าคุ้มครอง ต่างกันยังไง

  • สัตว์ป่าสงวน

ข้อมูลล่าสุดตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ปี พ.ศ. 2562 ก็ยังคงมีการระบุบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าสงวน 19 ชนิด ไว้เช่นเดิม เหมือนกับพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ปี พ.ศ. 2535 โดย สัตว์ป่าสงวนจะเป็นกลุ่มสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือมีความเสี่ยงที่ใกล้จะสูญพันธุ์ และเป็นกลุ่มสัตว์ที่หาได้ยากมาก เช่น เต่ามะเฟือง แมวลายหินอ่อน สมเสร็จ กวางผา และอื่นๆ รวมกันกว่า 19 ชนิด ดังนั้น กฎหมายคุ้มครองจึงออกมาเพื่อช่วยเหลือในด้านการอนุรักษ์และสงวนสายพันธุ์สัตว์ป่าหายากเหล่านี้ไว้ โดยห้ามผู้ใดมาล่า หรือมีไว้ในครอบครองโดยเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ที่ยังมีชีวิตหรือเป็นซากสัตว์แล้วก็ตาม

  • สัตว์ป่าคุ้มครอง

ส่วนกลุ่มสัตว์ป่าคุ้มครองนั้น จะมีรายชื่อคุ้มครองจากกฎกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะสัตว์ป่ากลุ่มนี้จะมีความสำคัญต่อระบบนิเวศอย่างมาก และเพื่อไม่ให้ระบบนิเวศเสียสมดุลไป จึงต้องมีการคุ้มครองไว้เพื่อไม่ให้ปริมาณตามธรรมชาติมีน้อยเกินไป หรือถูกภัยคุกคามจากมนุษย์มาปั่นป่วนได้ แต่กรณีของสัตว์ป่าคุ้มครองบางชนิดยังสามารถเลี้ยงได้ แต่ต้องมีใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายก่อน 

หลายๆ คน อาจยังไม่เคยรู้จักรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครอง กันเท่าไรนัก เพราะการคุ้มครองจริงๆ แล้วครอบคลุมไปมากกว่าหลายพันชนิด สามารถยกตัวอย่างประเภทหลักๆ ที่คุ้นเคยกันได้ เช่น ช้าง ชะมดเช็ด พังพอน โลมา ไก่ป่า นกเอี้ยงควาย นกฮูก อีกา ตุ๊กแกบ้านสีเทา ตะกวด งูเหลือม งูจงอาง และอื่นๆ อีกมากมายหลายพันรายชื่อ

ดังนั้น ความแตกต่างของการสงวน และการคุ้มครองสัตว์ทั้ง 2 ประเภทนี้ มีจุดประสงค์หลักๆ ที่ไม่เหมือนกันอย่างชัดเจน เพราะกลุ่มสัตว์ป่าสงวนจะอนุรักษ์ไว้เพราะใกล้สูญพันธุ์ โดยใช้กฎหมายข้อบังคับที่เคร่งครัดมากที่สุด และมีเพียงแค่ 19 ชนิดเท่านั้น ส่วนสัตว์ป่าคุ้มครองยังคงสามารถเลี้ยงได้บางชนิด หากได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นกลุ่มสัตว์ที่คุ้มครองไว้เพื่อไม่ให้ระบบนิเวศเสียสมดุลตามหลักการของห่วงโซ่อาหารด้วยนั่นเอง

ทำไมต้องเป็นสัตว์ป่าสงวน รู้ได้อย่างไรว่าใกล้สูญพันธุ์

ทำไมต้องเป็นสัตว์ป่าสงวน รู้ได้อย่างไรว่าใกล้สูญพันธุ์

การประเมินความเสี่ยงของสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือสัตว์ป่าที่เริ่มมีแนวโน้มจะได้รับผลกระทบจากภัยคุกคามนั้น จะใช้เกณฑ์การวัดจากหลักการมาตรฐานสากลที่จัดทำขึ้นโดยองค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN) โดยจะมีการประเมินความเสี่ยงตามสถานภาพสัตว์สายพันธุ์นั้นๆ จากการดูแลพื้นที่แต่ละเขตท้องถิ่นที่หน่วยงานรับผิดชอบอยู่ 

โดยจะมีการประเมินทุกๆ 5 – 10 ปี หลังจากนั้นจึงมีการประกาศบัญชีรายชื่อ Red list ออกมาเพื่อยืนยันข้อมูลสถานภาพความเร่งด่วนในการต้องอนุรักษ์ร่วมกันทั้งในภาคส่วนของหน่วยงานที่ดูแลด้านนี้ และภาคส่วนของประชาชนด้วยเช่นกัน ส่วนทางด้าน IUCN Red List of Threatened Species ได้แบ่งสัตว์ใกล้สูญพันธุ์โดยใช้เกณฑ์ 5 เหตุผล ดังนี้

  • จำนวนประชากรสัตว์ที่ลดลง 

ตัวเลขจำนวนความเสี่ยงที่ลดลงนั้น อาจไม่สามารถระบุอย่างชัดเจนได้ แต่กลุ่มสัตว์ป่าสงวนมักจะเป็นสายพันธุ์ที่ได้รับการค้นพบเพียงแค่ 28 % จากทั้งหมด 40,000 กว่าชนิดเท่านั้น  

  • ช่วงทางทางภูมิศาสตร์

สัตว์ป่าสงวนที่ใกล้สูญพันธุ์มักพบได้เพียงแค่พื้นที่จุดเดียว หรือไม่ถึง 20 % ของภูมิภาคนั้นๆ แม้ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมแบบเดียวกันก็ตาม

  • สปีชีส์นั้นมีจำนวนประชากรอยู่น้อยอยู่แล้วหรือไม่

แต่เดิมทีกลุ่มสัตว์ป่าสงวนเคยมีจำนวนที่เหมาะสมกับพื้นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ แต่ด้วยภัยคุกคามจากการออกล่าของมนุษย์ และภัยคุกคามตามธรรมชาติ รวมถึงโรคระบาดต่างๆ ทำให้สัตว์กลุ่มนี้มีจำนวนน้อยลงมากจนเสี่ยงสูญพันธุ์ จึงสามารถวิเคราะห์จากอัตราการลดลงของจำนวนสัตว์ชนิดนั้นๆ ได้

  • สปีชีส์นั้นมีจำนวนน้อยและอาศัยอยู่ในพื้นที่เล็กๆ หรือไม่ 

สัตว์ป่าสงวนสามารถจำกัดพื้นที่การตรวจสอบได้ง่าย โดยใช้หลักการอ้างอิงจำนวนประชากรที่น้อยอยู่แล้วจากข้อข้างต้น รวมถึงพื้นที่อยู่อาศัยที่ค่อนข้างจำกัด และสัตว์ป่าสงวนมักจะอาศัยอยู่เพียงแค่พื้นที่แห่งใดแห่งหนึ่งของป่าตามภูมิภาคนั้นๆ เพียงอย่างเดียว ไม่มีการขยายพันธุ์ไปถิ่นอื่นที่ไกลมากขึ้นได้

  • พิจารณาจากโอกาสที่จะสูญพันธุ์

ในการประเมินโอกาสใกล้สูญพันธุ์ของสัตว์ป่าสงวน จะใช้ข้อมูลตามบัญชีรายชื่อ Red list ขององค์กรระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์สายพันธุ์สัตว์ป่า หรือ IUCN โดยบัญชีรายชื่อของสัตว์แต่ละประเภทตาม Red list จะแบ่งจากปัจจัยข้างต้นเป็นหลัก และจะถูกบันทึกพร้อมเผยแพร่ให้กับสาธารณชนได้รับทราบร่วมกัน ซึ่งมีระดับความเสี่ยง ดังนี้

  • EX (Extinct) เป็นระดับที่สูญพันธุ์ไปแล้ว หมายถึงจำนวนของสัตว์ป่าสายพันธุ์นี้ได้สูญพันธุ์ไปแล้วทั้งหมด
  • EW (Extinct in the Wild) เป็นระดับการสูญพันธุ์ตามธรรมชาติ แต่บางสายพันธุ์ยังคงมีจำนวนเล็กๆ น้อยๆ จากการอนุรักษ์ดูแลอยู่บ้างในสถานที่คุ้มกัน
  • CR (Critically endangered species) เป็นระดับความเสี่ยงที่ใกล้จะสูญพันธุ์สูงมากที่สุด โดยมีจำนวนที่ลดลงอย่างรวดเร็วจากการดำรงอยู่ตามธรรมชาติ
  • EN (Endangered species) เป็นระดับความเสี่ยงที่ใกล้สูญพันธุ์ตามธรรมชาติ
  • VU (Vulnerable species) เป็นระดับความเสี่ยงที่เริ่มเข้าข่ายใกล้สูญพันธุ์จากแนวโน้มของจำนวนที่ลดลงมากขึ้นตามธรรมชาติ
  • NT (Near Threatened) เป็นระดับความเสี่ยงสูญพันธุ์ในอนาคตจากทั้งภัยคุกคามของมนุษย์และทางธรรมชาติ
  • LC (Least Concern) เป็นระดับความเสี่ยงสูญพันธุ์ที่ค่อนข้างต่ำมาก สามารถพบเห็นได้ทั่วไป
  • DD (Data Deficient) เป็นสัตว์ที่อยู่ในกลุ่มไม่สามารถประเมินความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ได้ เนื่องจากข้อมูลยังมีไม่เพียงพอ ซึ่งมักพบบ่อยกับประเภทสัตว์น้ำ สัตว์ตามท้องทะเล หรือพื้นที่ที่ค้นพบได้น้อยมาก
  • NE (Not Evaluated) เป็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่ได้ประเมินความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และยังไม่ได้ระบุข้อมูลอื่นๆ ที่แน่ชัด

จากข้อมูลการประเมินขององค์กรผู้ดูแลอนุรักษ์ทั้งหมดจากทั่วโลก สามารถสรุปได้ว่า ความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์เหล่านี้เอง เป็นตัวทำให้สัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์กลายมาเป็นสัตว์ป่าสงวน ที่ต้องอนุรักษ์และปกป้องไว้ ไม่ให้สูญพันธุ์ในที่สุด

ปัจจัยคุกคาม ทำไมสัตว์ป่าสงวนถึงใกล้สูญพันธุ์

ปัจจัยคุกคาม ทำไมสัตว์ป่าสงวนถึงใกล้สูญพันธุ์

หากพูดถึงปัจจัยหลักๆ ที่ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อการสูญพันธุ์ของสัตว์ป่าสงวนมากที่สุด มักมาจากภัยคุกคามของมนุษย์ และยังมีภัยคุกคามตามธรรมชาติอีกมากมายหลายปัจจัยด้วยเช่นกัน ทั้งการคุกคามพื้นที่อยู่ที่อาศัย ภัยธรรมชาติต่างๆ รวมถึง ภัยเรื่องโรคระบาดที่สายพันธุ์ของสัตว์นั้นๆ ไม่สามารถต้านทานหรือฟื้นฟูได้เอง สามารถกล่าวโดยสรุปได้จาก 2 กรณีใหญ่ๆ ที่ร้ายแรงมากที่สุด ดังนี้

  • การสูญเสียถิ่นที่อยู่ 

ในทุกวันนี้เผ่าพันธุ์มนุษย์มีการขยายเขตพื้นที่อยู่อาศัย และเขตพื้นที่อุตสาหกรรมต่างๆ ทางธุรกิจกันมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้พื้นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหายไปอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุที่ทำให้สัตว์ป่าสูญพันธุ์กันง่ายมากขึ้น และเมื่อเหล่าสัตว์ป่าย้ายถิ่นอยู่ต่างที่ก็เกิดการปรับตัวที่ยากลำบาก รวมถึงการแย่งชิงพื้นที่กันเองของสัตว์ป่าเจ้าถิ่นเดิม จึงเป็นเหตุผลหลักที่ร้ายแรงนั่นเอง ตัวอย่างสัตว์ที่เสี่ยงสูญพันธุ์ด้วยเหตุนี้ ได้แก่ หมีแพนด้า ช้างแอฟริกา กอริลลา เสือดาว เป็นต้น

  • การสูญเสียความหลากหลายทางพันธุกรรม 

เป็นสาเหตุการสูญพันธุ์ที่ค่อนข้างร้ายแรงจากปัจจัยหลายๆ อย่างรวมกัน เช่น การที่สัตว์ป่าถูกล่าโดยมนุษย์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถือว่าส่งผลกระทบร้ายแรงทั้งสิ้น การต่อสู้กันเองของสัตว์ป่าระหว่างสัตว์เจ้าถิ่นและสัตว์ที่เข้ามารุกราน อาจเกิดจากทั้งสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรือเกิดจากการรุกรานพื้นที่อยู่อาศัยเดิมจากมนุษย์ ทำให้สัตว์กลุ่มรุกรานต้องย้ายพื้นที่อยู่อาศัยใหญ่ ตัวอย่างสัตว์ที่เสี่ยงสูญพันธุ์ด้วยเหตุนี้ ได้แก่ ลิ่น เต่าทะเล เต่ามะเฟือง กอริลลา ควายป่า เป็นต้น

หากใครต้องการดูรายละเอียดเพิ่มเติมอื่นๆ เกี่ยวกับสาเหตุการสูญพันธุ์และความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการสูญพันธุ์ที่เพิ่มสูงขึ้นของสัตว์ป่ามากมาย จนต้องมีการอนุรักษ์กันมากขึ้น ทั้งความร่วมมือของภาคหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงภาคประชาชนด้วยกันเอง สามารถติดตามอ่านจากบทความของทาง Cheewid ได้ที่นี่ สัตว์ใกล้สูญพันธุ์

รวมรายชื่อ สัตว์ป่าสงวน 19 ชนิดในไทย มีอะไรบ้าง

สำหรับข้อสงสัยที่หลายๆ คน กำลังให้ความสนใจกันมากขึ้นกับ สัตว์ป่าสงวนมีกี่ชนิด ในบทความนี้ทาง Cheewid จะมาให้ข้อมูลรายชื่อตัวอย่างสัตว์ป่าสงวนในไทย 19 ชนิด ดังนี้

กระซู่ 1 ในสัตว์ป่าสงวนของไทย 19 ชนิด

1. กระซู่

กระซู่เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่จัดอยู่ในวงศ์ตระกูลเดียวกับแรด แต่จะมีลักษณะที่แตกต่างจากแรดทั่วไปตรงที่ขนาดตัวของกระซู่จะเป็นเหมือนแรดตัวเล็ก มีขาสั้น และมีขนสีน้ำตาลแดงยาวทั่วทั้งตัว โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Dicerorhinus sumatrensis และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ CR (Critically Endangered) คือ ระดับความเสี่ยงที่ใกล้จะสูญพันธุ์สูงมากที่สุดอีกด้วย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระซู่ มีดังนี้

  •  ลักษณะ จะมีการแบ่งกระซู่ของแต่ละโซนทวีป หากเป็นกระซู่เอเชียจะมี 2 นอ และมีหนังสีน้ำตาลเข้มพร้อมขาที่ดูแข็งแรงเหมาะกับสภาพแวดล้อมทางเอเชีย ส่วนกระซู่ตะวันตก และกระซู่ตะวันออก ปัจจุบันคาดว่าสูญพันธุ์ไปแล้วเรียบร้อยทั้งหมด
  •  ที่อยู่อาศัย กระซู่ชอบป่าที่มีลักษณะเป็นป่าฝนเขตร้อน และมีความชื้นจากแหล่งน้ำ รวมถึงมีมอสปกคลุม
  • การกิน กระซู่จะกินผลไม้ป่าและยอดอ่อน รวมถึงใบไม้ต่างๆ เป็นหลัก โดยมีเวลาออกหาอาหารช่วงเช้ามืดและช่วงหัวค่ำ
  • ฤดูผสมพันธุ์ ไม่มีช่วงเวลาที่แน่ชัด แต่มักจะมีการพบลูกกระซู่ในช่วงฝนตกชุก ตั้งแต่ตุลาคมถึงพฤษภาคมอยู่บ่อยๆ ซึ่งกระซู่จะออกลูกเพียงครั้งละ 1 ตัวเท่านั้น จึงทำให้เป็นสัตว์ป่าสงวนที่มีจำนวนน้อยและเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อย่างมาก

 

กวางผา สัตว์ป่าสงวนไทย

2. กวางผา

กวางผา หรือมีอีกชื่อเรียกคือ ม้าเทวดา เป็นสัตว์ป่าสงวนอยู่วงศ์ตระกูลเดียวกันกับแพะ และเป็นสัตว์ประเภทเลี้ยงลูกด้วยน้ำนม มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Naemorhedus caudatus และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ VU (Vulnerable) คือ ระดับความเสี่ยงที่เริ่มเข้าข่ายใกล้สูญพันธุ์ ถือเป็นความเสี่ยงสูญพันธุ์ตามธรรมชาติ

  • ลักษณะ ถึงแม้ว่ากวางผาจะดูคล้ายกับเลียงผา แต่ขนาดตัวของกวางผาเล็กกว่ามากหลายเท่า มีสีขนน้ำตาลหม่น และเป็นขนหยาบทั่วลำตัว มีเขาสีดำโค้งไปด้านหลัง และจะมีสีของใต้คางที่เป็นน้ำตาลอ่อน ๆ
  • ที่อยู่อาศัย กวางผาจะอยู่บริเวณภูเขาสูงตั้งแต่ 3,300 ฟุต ไปจนถึงระดับ 13,500 ฟุต และมักอาศัยแบบหลบซ่อนตัวตามหินผา จึงเป็นสัตว์ที่พบเจอได้ค่อนข้างยากมาก
  • การกิน อาหารของกวางผาจะเป็นพืชหญ้า ใบไม้ และผลไม้ที่พบเจอตามพื้นที่เขาสูง
  • ฤดูผสมพันธุ์ กวางผาจะออกลูกครั้งละ 1 ตัวเท่านั้น โดยมีฤดูผสมพันธุ์อยู่ประมาณช่วงพฤศจิกายนถึงธันวาคม 

 

กรูปรี เป็นสัตว์สงวนประเภทเลี้ยงลูกด้วยน้ำนม

3. กรูปรี

กรูปรี เป็นสัตว์สงวนประเภทเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่จัดอยู่ในวงศ์ตระกูลเดียวกับวัว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Bos sauveli และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ CR (Critically Endangered) คือ ระดับความเสี่ยงที่ใกล้จะสูญพันธุ์สูงมากที่สุด จึงอยู่ในบัญชีหมายเลข 1 สัตว์สงวนของประเทศไทย

  • ลักษณะ กรูปรีจะแตกต่างจากวัวทั่วไปตรงที่เหนียงคอห้อยยานของกรูปรีจะเป็นจุดเด่นสำคัญ ซึ่งกรูปรีตัวผู้เหนียงจะยานได้เยอะมากจนถึงขั้นติดพื้นดิน เขาของตัวผู้จะโค้งยาวและแตกปลายเป็นเหมือนพู่ ส่วนลักษณะกรูปรีตัวเมียจะคล้ายตัวผู้ แต่มีขนาดเล็กกว่าในทุกๆ สัดส่วน
  • ที่อยู่อาศัย กรูปรีมักจะอาศัยตามทุ่งหญ้าป่าเปิดสลับกับป่าทึบ สามารถพบเห็นได้ตามเขตชายแดนไทย ลาว เวียดนาม และกัมพูชาเท่านั้น
  • การกิน อาหารของกรูปรี คือ หญ้า ข้าวเปลือก ไผ่ และมักจะออกหากินในเวลากลางคืนเท่านั้น
  • ฤดูผสมพันธุ์ ช่วงเวลาฤดูผสมพันธุ์ของกรูปรีจะอยู่ตั้งแต่เดือนเมษายน และจะออกลูกช่วงปลายปีตั้งแต่เดือนธันวาคม จนถึง กุมภาพันธ์ โดยออกลูกเพียงแค่ครั้งละ 1 ตัวเท่านั้น

 

เก้งหม้อ สัตว์ป่าสงวนในไทย

4. เก้งหม้อ

เก้งหม้อ มีชื่อเรียกอื่นๆ ว่า เก้งดง หรือ กวางเขาจุก เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Muntiacus feae และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ VU (Vulnerable) คือ ระดับความเสี่ยงที่มีแนวโน้มเข้าข่ายใกล้สูญพันธุ์

  • ลักษณะ รูปลักษณ์ทั่วไปของเก้งหม้อจะดูคล้ายกับเก้งธรรมดาทั่วไป แต่มีสีที่เข้มกว่าอย่างชัดเจน โดยเฉพาะส่วนของสันหลังที่จะเข้มมากที่สุด สาเหตุที่เก้งหม้อมีอีกชื่อเรียกว่า กวางเขาจุก เพราะเก้งหม้อตัวผู้มีลักษณะเขากิ่งหน้าที่สั้นมากและถูกขนหนาบริเวณโคนเขาคลุมไว้จึงดูเป็นกระจุกเล็กๆ  
  • ที่อยู่อาศัย ถิ่นที่อยู่อาศัยหลักของเก้งหม้อจะเป็นบริเวณเทือกเข้าสูงและเป็นป่าดิบทึกบนเทือกเขา สามารถพบได้ตั้งแต่ระดับความสูง 2,500 เมตรขึ้นไป โดยมีพื้นที่หลักๆ พบเห็นได้บ่อยจะอาศัยอยู่บริเวณเทือกเขาตระนาวศรีชายแดนไทย-พม่า
  • การกิน เก้งหม้อจะหากินหญ้า ใบไม้ ผลไม้ป่าต่างๆ ที่ตกตามธรรมชาติ และเป็นสัตว์ป่าสงวนที่แยกกันออกหากินตอนกลางวัน
  • ฤดูผสมพันธุ์ มีฤดูผสมพันธุ์ที่ไม่แน่ชัด แต่เก้งหม้อตัวเมียจะใช้เวลาในการตั้งท้อง 180 วัน และคลอดลูกทีละ 1 ตัว

 

ควายป่า สัตว์สงวนเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์

5. ควายป่า

ควายป่า เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทเลี้ยงลูกด้วยน้ำนม มีนิสัยที่ค่อนข้างดุร้าย โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Bubalus bubalis และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ EN (Endangered species) คือ ระดับความเสี่ยงที่ใกล้สูญพันธุ์ตามธรรมชาติและค่อนข้างสูง เพราะสาเหตุการสูญพันธุ์ของควายป่าหลักๆ จะเป็นเรื่องการผสมข้ามสายพันธุ์ไปรวมกับควายบ้าน ทำให้เกิดความเสี่ยงสูงเรื่องสายพันธุ์

  • ลักษณะ รูปร่างภายนอกดูคล้ายกับควายทั่วไป แต่ขนาดของควายป่าจะตัวใหญ่มาก มีน้ำหนักมากถึง 800–1,200 กิโลกรัม และมีเขากว้างมากที่สุด ลำตัวเป็นสีดำ หรือสีเทาเข้มมากๆ ส่วนบริเวณขาทั้ง 4 ข้างจะเป็นสีอ่อนกว่า จนถึงสีขาว และในบริเวณหน้าอกจะมีรอยคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยวอยู่
  • ที่อยู่อาศัย ควายป่าชอบพื้นที่ป่าโปร่งและทุ่งหญ้าชื้นแฉะ มีโคลนหรือหนองน้ำ
  • การกิน อาหารหลักของควายป่า คือ หญ้า และพืชในหนองน้ำที่แช่ตัว
  • ฤดูผสมพันธุ์ ช่วงฤดูฝนจะเป็นฤดูผสมพันธุ์ของควายป่า แต่ควายป่าตัวเมียใช้เวลาตั้งท้องนานถึง 300–340 วัน และคลอดลูกทีละ 1 ตัวเท่านั้น

 

แมวลายหินอ่อน สัตว์สงวนเสี่ยงใกล้เข้าสู่การถูกคุกคามให้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

6. แมวลายหินอ่อน

แมวลายหินอ่อน เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เคยมีการพบเห็นและมีหลักฐานเป็นรูปถ่ายของประเทศไทยที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานมาแล้วเมื่อช่วงปี พ.ศ.2547 โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Pardofelis marmorata และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ NT (Near Threatened) คือ ระดับความเสี่ยงใกล้เข้าสู่การถูกคุกคามให้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ทั้งจากมนุษย์และโดยธรรมชาติ เพราะเป็นสัตว์ป่าที่มีการลักลอบค้าขายหรือจับไปอย่างผิดกฎหมายเยอะมาก

  • ลักษณะ รูปลักษณ์ทั่วไปคล้ายกับแมวบ้าน แต่จะมีลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นลายที่คล้ายกับเสือลายเมฆ เป็นสีพื้นฐานที่ไปทางน้ำตาลและมีลายพาดที่ดูคล้ายเสือมากๆ จะมีหางฟูและยาวมากกว่าหรือเท่ากับขนาดลำตัว
  • ที่อยู่อาศัย ด้วยธรรมชาติของแมวลายหินอ่อนที่เป็นสัตว์ป่า จะอาศัยอยู่บริเวณป่าทึบและภูเขาสูง ซึ่งถิ่นกำเนิดหลักๆ จะพบในทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย จนถึงภูเขาสูงเนปาล ส่วนปัจจุบันมักพบเจอได้ในป่าที่หลากหลายประเภทมากขึ้น
  • การกิน อาหารของแมวลายหินอ่อนจะเป็นการล่าจับสัตว์เล็กมากินเป็นอาหาร เช่น หนู กระรอก นก รวมถึงสัตว์เล็กอื่นๆ ตามพื้นดินในป่า
  • ฤดูผสมพันธุ์ ช่วงเวลาของฤดูผสมพันธุ์ไม่ได้มีไว้อย่างแน่ชัด เพราะการผสมพันธุ์ของแมวลายหินอ่อนมักจะมาจากพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์เพียงแค่คู่เดียว ไม่มีการผสมไปทั่ว โดยการออกลูกจะคลอดครั้งละ 1–4 ตัว และใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 81 วัน

 

แรด เป็นหนึ่งในสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ CR (Critically Endangered) คือ ระดับความเสี่ยงที่ใกล้จะสูญพันธุ์สูงมากที่สุด

7. แรด

แรด เป็นหนึ่งในสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เป็นข้อมูลรายชื่อสัตว์ป่าสงวนที่หลายๆ คนอาจยังไม่ทราบ เพราะถือว่ายังมีการพบเห็นได้อยู่บ่อยๆ แต่แรดเป็นสัตว์ที่ถูกล่าเยอะมากที่สุดจากมนุษย์ เพราะความเชื่อของการใช้อวัยวะต่างๆ เป็นยารักษาโรค หรือยาบำรุงร่างกาย จึงตั้งให้เป็นสัตว์ป่าสงวนนั่นเอง โดยแรดมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Rhinoceros sondaicus และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ CR (Critically Endangered) คือ ระดับความเสี่ยงที่ใกล้จะสูญพันธุ์สูงมากที่สุด

  • ลักษณะ แรดจะมีกีบเท้าข้างละ 3 กีบ มีผิวหนังที่หนา จุดเด่นของแรด คือ นอแหลมที่อยู่เหนือจมูกที่ปกติจะมีความยาวเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้เป็นนอแหลมยาวอะไรมากมาย ส่วนแรดตัวเมียจะไม่มีนอและมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าตัวผู้ โดยแรดเป็นสัตว์ที่หูกับจมูกดีมากเป็นพิเศษ แต่มีสายตาที่ไม่ค่อยดีนัก
  • ที่อยู่อาศัย พื้นที่ที่แรดชอบอาศัยอยู่จะเป็นป่าฝนทึบและต้องมีแหล่งน้ำ แหล่งโคลน สำหรับให้อยู่อาศัย
  • การกิน อาหารหลักของแรดจะเป็นการหากินผลไม้ป่า และใบไม้กับยอดอ่อนตามป่า
  • ฤดูผสมพันธุ์ แรดจะไม่มีฤดูผสมพันธุ์ที่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแรดตัวเมีย และจะทิ้งช่วงระยะเวลาในการคลอดลูกไปนานถึงรอบละ 4–5 ปี ก่อนจะผสมพันธุ์ครั้งต่อไป โดยแรดจะออกลูกครั้งละ 1 ตัวเท่านั้น

 

พะยูน หรือชื่อเรียกอื่นๆ ได้แก่ หมูดุด ปลาหมู หรือ ดุหยง เป็นสัตว์ป่าสงวนที่จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่อาศัยอยู่ในน้ำ

8. พะยูน

พะยูน หรือชื่อเรียกอื่นๆ ได้แก่ หมูดุด ปลาหมู หรือ ดุหยง เป็นสัตว์ป่าสงวนที่จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่อาศัยอยู่ในน้ำ โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Dugong dugon และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ VU (Vulnerable) คือ ระดับความเสี่ยงที่มีแนวโน้มเข้าข่ายใกล้สูญพันธุ์

  • ลักษณะ พะยูนจะเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำ คล้ายโลมา แต่มีตัวอ้วนโตกว่า และมีผิวลื่นสีเทา ส่วนพะยูนแก่จะมีสีผิวที่เปลี่ยนเป็นสีแดงอิฐด่างขาว จะมีขาหน้าที่เป็นใบใหญ่ ยาว และกว้าง เพื่อให้เคลื่อนที่ในน้ำอย่างสะดวก รวดเร็ว แต่ขาหลังจะหดกลายเป็นกระดูกเล็กๆ ที่แทบจะมองไม่เห็น
  • ที่อยู่อาศัย บริเวณที่พะยูนอยู่อาศัยจะเป็นทะเลเขตร้อน หรือทะเลเขตกึ่งร้อน
  • การกิน อาหารของพะยูนจะเป็นหญ้าทะเลที่อยู่แนวน้ำตื้น ค่อนข้างใกล้ฝั่ง รวมถึง หญ้าทะเลบริเวณแนวหญ้าใต้ทะเลลึก และปลิงทะเลก็เป็นอาหารของพะยูนด้วยเช่นกัน
  • ฤดูผสมพันธุ์ การผสมพันธุ์ของพะยูนจะเกิดขึ้นเมื่อตัวเมียพร้อม หรือมีอายุถึง 13 ปีเป็นต้นไป โดยใช้เวลาตั้งท้อง 13 เดือน และออกลูกครั้งละ 1 ตัว 

 

เลียงผา เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่จัดเป็นสัตว์หายากและมีแนวโน้มเข้าข่ายใกล้สูญพันธุ์สูงมาก

9. เลียงผา

เลียงผา เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทเลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่จัดเป็นสัตว์หายากมากทุกวันนี้ โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Capricornis Sumatraensis และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ VU (Vulnerable) คือ ระดับความเสี่ยงที่มีแนวโน้มเข้าข่ายใกล้สูญพันธุ์สูงมาก

  • ลักษณะ รูปลักษณ์ของเลียงผาจะดูคล้ายแพะ ส่วนบริเวณเท้าและรอยเท้าจะคล้ายกับเก้ง แต่จุดเด่นของเลียงผา คือ ลำตัวสีดำ ตัวเล็กสั้น และมีขนที่ชี้ฟูไปทั่วตั้งแต่หัวจนถึงลำตัวทั้งหมด มีหูใบใหญ่ที่ตั้งขึ้นอย่างโดดเด่น และกีบเท้าจะมีลักษณะขนานกัน ต่างกับกีบสัตว์ชนิดทั่วๆ ไปอย่างชัดเจน
  • ที่อยู่อาศัย สามารถพบเลียงผาได้จากป่าหลากหลายประเภท แต่พื้นที่ที่เลียงผาชอบอยู่มากที่สุดจะเป็นภูเขาเปิดโล่ง หรือบริเวณพื้นที่สูงต่างๆ รวมถึงต้นไม้
  • การกิน อาหารหลักจะเป็นหญ้า ยอดไม้  และใบไม้
  • ฤดูผสมพันธุ์ ช่วงฤดูผสมพันธุ์ของเลียงผาจะเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึง เดือนพฤศจิกายน และใช้เวลาตั้งท้องนาน 7 เดือน คลอดลูกครั้งละ 1 ตัว 

สมเสร็จ สัตว์ป่าสงวนของไทย

10. สมเสร็จ

สมเสร็จ เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เป็นสัตว์ที่พบเห็นได้ยากมาก และยังเป็นสายพันธุ์ของสัตว์ดึกดำบรรพ์ โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Tapirus indicus และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ EN (Endangered species) คือ ระดับความเสี่ยงที่ใกล้สูญพันธุ์ตามธรรมชาติและค่อนข้างสูง เพราะสมเสร็จมักถูกมนุษย์ตามล่า หรือตามดักจับมาเลี้ยงไว้ จึงต้องขึ้นทะเบียนให้เป็นสัตว์ป่าสงวนทันที

  • ลักษณะ รูปร่างดูเผินๆ จะคล้ายกับหมูขายาว ซึ่งสมเสร็จจะมีลักษณะตัวที่อ้วนตัน และมีจมูกเป็นงวงคล้ายกับช้าง แต่เป็นงวงเล็กที่เข้ากับรูปร่าง และมีสีดำทั่วลำตัว ยกเว้นบริเวณท้องจนถึงสะโพกที่จะเป็นสีขาวหม่นๆ เป็นสัตว์ไม่ดุร้าย ดูแล้วค่อนข้างน่ารักจากลักษณะท่าทางต่าง ๆ
  • ที่อยู่อาศัย สมเสร็จอาศัยอยู่ได้ทั้งป่าสูง และป่าต่ำ ที่มีลักษณะเป็นป่ารกทึบ และจะมีการเดินทางอยู่ตลอดเวลา
  • การกิน สมเสร็จเป็นสัตว์กินพืช สามารถกินได้ทุกอย่างที่เป็นพืชตามป่า เช่น ผลไม้ ใบไม้ พืชน้ำ หญ้า ยอดไม้ ไม้พุ่มเตี้ย เป็นต้น
  • ฤดูผสมพันธุ์ สมเสร็จจะตั้งท้องครั้งละ 13 เดือน และออกลูกครั้งละแค่ 1 ตัว โดยไม่มีช่วงเวลาฤดูผสมพันธุ์ที่แน่ชัด

 

สมัน สัตว์ป่านสงวนที่สูญพันธุ์

11. สมัน

สมัน เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จัดอยู่ในตระกูลกวาง และเป็นหนึ่งในสัตว์ป่าสงวนที่สูญพันธุ์ไปแล้วเรียบร้อย หรือจัดอยู่ในความเสี่ยงของบัญชี Red list ในกลุ่ม EX (Extinct) คือ สูญพันธุ์ไปแล้วทั้งหมด โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Rucervus schomburgki แต่ปัจจุบันยังคงใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองสัตว์ป่าสงวนกับสมันเพื่อดูแลรวมไปถึงซากสัตว์ด้วย เป็นการสูญพันธุ์จากการรุกรานและการออกล่าของมนุษย์เป็นสาเหตุหลัก

  • ลักษณะ สมันคือกวางที่มีลักษณะเขาสวยงามมากที่สุดของโลก และเป็นกวางชนิดเดียวที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ซึ่งสมันจะมีลำตัวยาวถึง 180 เซนติเมตร รูปร่างสง่างาม มีขนหยาบสีน้ำตาลเข้มชัดเจน และมีขนช่วงใต้ลำตัวกับช่วงแก้มเป็นสีจางอ่อนๆ  ส่วนเขาของสมันจะมีการแตกกิ่งที่เยอะมาก มีลักษณะเขาหงายขึ้น และมีการแตกกิ่งเป็น 2 กิ่งอย่างโดดเด่น
  • ที่อยู่อาศัย สามารถพบสมันได้ที่ประเทศไทย บริเวณจังหวัดที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาเท่านั้น
  • การกิน อาหารหลักของสมัน คือ หญ้า
  • ฤดูผสมพันธุ์ ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับฤดูผสมพันธุ์ที่ชัดเจน แต่ด้วยความที่สมันตัวเมียจะไม่มีเขา แล้วดูคล้ายละมั่ง จึงทำให้มีความเชื่อต่อกันมาว่า สมันจะมีเฉพาะตัวผู้เท่านั้น หรือเพราะสมันผสมกับละมั่ง ก็จะมีลูกเป็นสมันหรือละมั่งก็ได้

 

ละมั่ง หรือชื่อเรียกอีกอย่างว่า ละอง

12. ละมั่ง

ละมั่ง หรือชื่อเรียกอีกอย่างว่า ละอง เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม จัดเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกันกับกวาง โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Rucervus eldii และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ EN (Endangered species) คือ ระดับความเสี่ยงที่ใกล้สูญพันธุ์ตามธรรมชาติและค่อนข้างสูง เพราะยังคงถูกล่าอยู่บ่อยๆ เนื่องจากมนุษย์หลายกลุ่มชอบออกล่ากวางกันด้วยเหตุผลต่างๆ มากมาย

  • ลักษณะ ละมั่งเป็นกวางขนาดกลางที่จะมีรูปร่างลำตัวสวยงามมาก โดยมีขนสีน้ำตาลแดงสว่างชัดเจนตอนฤดูร้อน และสีขนจะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเข้มในช่วงฤดูหนาว อีกทั้งละมั่งจะมีขนบริเวณสันหลังลากยาวเป็นขนสีดำ พร้อมกับมีเขาโค้งยาวที่ลักษณะโน้มทั้งหน้าและหลัง จึงดูเป็นกวางชนิดที่มีเขาใหญ่และรูปลักษณ์โดยรวมสวยงามอย่างมาก ส่วนละองบ้างก็ว่าจะตัวเล็กกว่าละมั่ง แต่ค่อนข้างคล้ายกัน
  • ที่อยู่อาศัย ละมั่งหรือละอง จะชอบอยู่บริเวณพื้นที่ป่าเปิดโล่ง และมีแม่น้ำอุดมสมบูรณ์
  • การกิน อาหารหลักของละมั่ง คือ หญ้า ยอดไม้ พืชน้ำ
  • ฤดูผสมพันธุ์ ระยะเวลาที่เข้าสู่ฤดูผสมพันธุ์ของละมั่งหรือละองจะอยู่ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จนถึงช่วงเดือนพฤษภาคม และใช้เวลาตั้งท้องนานมากถึง 220–240 วัน โดยคลอดลูกครั้งละ 1 ตัว

 

วาฬบรูด้า หรืออีกชื่อเรียกคือ วาฬแกลบ

13. วาฬบรูด้า

วาฬบรูด้า หรืออีกชื่อเรียกคือ วาฬแกลบ เป็นประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่อาศัยอยู่ในทะเล โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Balaenoptera edeni และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ NT (Near Threatened) คือ ระดับความเสี่ยงใกล้เข้าสู่การถูกคุกคามให้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ทั้งจากมนุษย์และโดยธรรมชาติ เพราะวาฬบรูด้ายังคงถูกลักลอบออกล่าอยู่เรื่อยๆ ในทุกวันนี้ รวมถึง ผลกระทบมลพิษทางท้องทะเลอีกมากมายที่เกิดจากมนุษย์

  • ลักษณะ ครีบของวาฬบรูด้าจะเป็นจุดเด่นอย่างมาก เพราะบริเวณครีบของวาฬบรูด้าจะค่อนไปอยู่ทางท้ายๆ ลำตัว และมีรูปร่างโค้งไปทางปลายหาง ส่วนครีบคู่หน้าจะมีปลายที่แหลม รูปร่างลำตัวค่อนข้างเพรียว และมีสีเทาดำสลับกับด่างมีขาวแต้มบริเวณใต้ช่วงคอลงไป
  • ที่อยู่อาศัย วาฬบรูด้าสามารถพบเห็นได้ตามทะเลที่เป็นเขตร้อนและเขตกึ่งร้อนทั้งหมด รวมถึงประเทศไทยก็เคยพบวาฬบรูด้าแล้วเช่นกัน
  • การกิน อาหารหลักของวาฬบรูด้าจะเป็นฝูงปลาขนาดเล็กต่างๆ เช่น ปลากะตัก ปลาทูขนาดเล็ก และอื่นๆ เป็นต้น
  • ฤดูผสมพันธุ์ การผสมพันธุ์ของวาฬบรูด้าจะเกิดขึ้นเมื่อวาฬบรูด้าตัวเมียพร้อมในช่วงอายุ 9 – 13 ปี และคลอดลูกครั้งละ 1 ตัวในทุกๆ 2 ปี

 

วาฬโอมูระ สัตว์สายพันธุ์หายากมาก

14. วาฬโอมูระ

วาฬโอมูระ เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม และเป็นสัตว์ที่อาศัยในท้องทะเล ซึ่งวาฬโอมูระเป็นสัตว์สายพันธุ์หายากมาก จึงทำให้ทาง IUCN ได้จัดสถานการณ์ประเมินความเสี่ยงไว้ที่ระดับ DD (Data Deficient) คือ สัตว์ที่อยู่ในกลุ่มไม่สามารถประเมินความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ได้ เนื่องจากข้อมูลยังมีไม่เพียงพอ โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Balaenoptera omurai 

  • ลักษณะ รูปลักษณ์ของวาฬโอมูระจะคล้ายกับวาฬบรูด้าอย่างมาก และยังเป็นสายพันธุ์ที่ค้นพบได้ยากมากที่สุด แต่ลักษณะที่วาฬโอมูระแตกต่างจากวาฬบรูด้าอย่างชัดเจน คือ วาฬโอมูระที่เต็มวัยแล้วมีขนาดที่เล็กกว่าวาฬบรูด้าเยอะมาก และมีครีบที่ไม่ได้ตกไปจนถึงช่วงหางหรือช่วงปลายลำตัว จะมีครีบที่ยังเห็นได้ชัดเจนและโค้งน้อยกว่าแต่ขนาดครีบสูงกว่า
  • ที่อยู่อาศัย ในการพบเจอวาฬโอมูระแต่ละครั้ง ยังไม่มีใครได้บันทึกแหล่งที่อยู่หรือแหล่งที่พบเจอไว้อย่างชัดเจน และเหมือนกับวาฬโอมูระสามารถว่ายน้ำไปได้หลายพื้นที่ท้องทะเล ซึ่งปัจจุบันยังคงไม่มีการพบเห็นวาฬโอมูระอีก ไม่แน่ชัดว่าอาศัยใต้ทะเลลึกมากหรือสูญพันธุ์ไปแล้ว
  • การกิน อาหารหลักของวาฬโอมูระจะเป็นกลุ่มปลาขนาดเล็ก และเคย
  • ฤดูผสมพันธุ์ ไม่พบข้อมูลฤดูผสมพันธุ์หรือการขยายพันธุ์ของวาฬโอมูระ 

 

ปลาฉลามวาฬ เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์เลือดเย็น ตระกูลเดียวกับปลาเสี่ยงที่ใกล้สูญพันธุ์ตามธรรมชาติและค่อนข้างสูง

15. ปลาฉลามวาฬ

ปลาฉลามวาฬ เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์เลือดเย็น ตระกูลเดียวกับปลา โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Rhincodon typus และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ EN (Endangered species) คือ ระดับความเสี่ยงที่ใกล้สูญพันธุ์ตามธรรมชาติและค่อนข้างสูง เพราะได้รับผลกระทบจากการทำประมงอยู่ตลอด และมักมีการล่าครีบของฉลามวาฬไปลักลอบขายอีกด้วย

  • ลักษณะ ในตอนนี้ปลาฉลามวาฬจัดว่าเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่มากที่สุด และเคลื่อนที่ช้ามาก โดยมีขนาดตัวถึง 8–17.5 เมตร มีน้ำหนักมากกว่า 21–35 ตัน และมีขนาดหัวที่ใหญ่กว่าลำตัวมาก มีช่องเหงือกในการหายใจ 5 ช่อง จะมีลำตัวสีเทาดำ และใต้ท้องจะเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน
  • ที่อยู่อาศัย ปลาฉลามวาฬจะอาศัยอยู่บริเวณทะเลเขตอบอุ่น หรือเขตร้อน ลึกลงไปตามแนวปะการังไม่เกิน 700 เมตร ซึ่งในทางฝั่งอ่าวไทย และทะเลอันดามันของประเทศไทยเราก็เคยพบปลาฉลามวาฬด้วยเช่นกัน
  • การกิน อาหารหลักของปลาฉลามวาฬจะกรองกินภายในปากและช่องกรอง โดยมีอาหารเป็นแพลงก์ตอน
  • ฤดูผสมพันธุ์ ยังไม่ทราบข้อมูลช่วงฤดูผสมพันธุ์ของปลาฉลามวาฬที่แน่ชัด 

 

เต่ามะเฟือง สัตว์ป่าสงวนที่จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลื้อยคลาน

16. เต่ามะเฟือง

เต่ามะเฟือง เป็นสัตว์ป่าสงวนที่จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลื้อยคลาน โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Dermochelys coriacea และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ VU (Vulnerable) คือ ระดับความเสี่ยงที่มีแนวโน้มเข้าข่ายใกล้สูญพันธุ์สูง

  • ลักษณะ เต่ามะเฟืองมีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งขนาดโตเต็มวัยจะมีน้ำหนักมากถึง 800–900 กิโลกรัม และความยาวตั้งแต่ 1.5–2.5 เมตร ซึ่งจุดเด่นของเต่ามะเฟืองที่ต่างจากเต่าอื่นๆ จะเป็นกระดอง เพราะกระดองเต่ามะเฟืองจะเป็นหนังมาหุ้ม ไม่ได้เป็นกระดองแข็งเหมือนกับเต่าทั่วไป ไม่สามารถหดหัวเข้ากระดองได้ ร่องสันหลังของกระดองจะนูนเป็น 7 สัน ดูคล้ายกับผลมะเฟือง จึงชื่อว่า เต่ามะเฟือง
  • ที่อยู่อาศัย เต่ามะเฟืองจะอยู่ในน้ำเท่านั้น และมักจะอยู่พื้นที่ทะเลลึก โดยสามารถอยู่ใต้น้ำลึกถึง 1,280 เมตร แต่จะขึ้นบกมาเพื่อผสมพันธุ์และวางไข่เท่านั้น
  • การกิน อาหารหลักของเต่ามะเฟืองจะเป็นแมงกะพรุน
  • ฤดูผสมพันธุ์ การผสมพันธุ์และการวางไข่ของเต่ามะเฟืองจะขึ้นอยู่กับความพร้อมด้านปัจจัยสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก โดยเฉพาะเรื่องอุณหภูมิและสภาพแวดล้อมของชายหาดในการวางไข่ ซึ่งเต่ามะเฟืองจะวางไข่ครั้งแรก 66–104 ฟองต่อหลุม แต่อัตราการเกิดและรอดชีวิตของลูกเต่านั้นมีค่อนข้างน้อยมาก

 

นกกระเรียน เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์ปีก และเป็นนกที่บินได้สูงที่สุดในโลก

17. นกกระเรียน

นกกระเรียน เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์ปีก และเป็นนกที่บินได้สูงที่สุดในโลก โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Grus antigone และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ VU (Vulnerable) คือ ระดับความเสี่ยงที่มีแนวโน้มเข้าข่ายใกล้สูญพันธุ์สูง

  • ลักษณะ นกกระเรียน เป็นนกที่มีขนาดใหญ่มากถึง 176 เซนติเมตรเป็นต้นไป และมีความกว้างของปีกใหญ่มากถึง 240 เซนติเมตร มีสีลำตัวเป็นเทาอ่อน และส่วนลำคอกับใบหน้าไม่มีขน เป็นหนังที่เป็นสีแดงหรือส้มแก่บริเวณใบหน้า
  • ที่อยู่อาศัย นกกระเรียนสามารถอาศัยอยู่ได้ทุกลักษณะพื้นที่ แต่สำหรับพื้นที่อยู่อาศัยที่ชอบจะเป็นพื้นที่หนองน้ำ แอ่งน้ำเล็ก ๆ
  • การกิน อาหารหลักจะเป็นหัวพืชที่อยู่ใต้ดินต่างๆ รวมถึง สัตว์บนพื้นดินขนาดเล็ก
  • ฤดูผสมพันธุ์ ช่วงฤดูผสมพันธุ์ไม่มีชัดเจน แต่แม่นกกระเรียนจะวางไข่ครั้งละ 2 ฟอง โดยใช้เวลาฟักกกไข่อีกประมาณ 31–34 วัน

 

นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร หรืออีกชื่อคือ นกตาพอง เป็นสัตว์ป่าสงวนที่มีการพบเห็นน้อยมากทุกวันนี้

18. นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร

นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร หรืออีกชื่อคือ นกตาพอง เป็นสัตว์ป่าสงวนที่มีการพบเห็นน้อยมากทุกวันนี้ และยังไม่มีการบันทึกอย่างเป็นหลักฐานชัดเจนของการพบเห็นในพื้นที่ที่มีโอกาสได้เจอมากที่สุด จึงทำให้ทาง IUCN ได้จัดอยู่ในความเสี่ยงของบัญชี Red list ในกลุ่ม EX (Extinct) คือ สูญพันธุ์ไปแล้วทั้งหมด ถึงแม้ยังไม่ทราบสถานะจำนวนที่ชัดเจนอยู่ก็ตาม โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Pseudochelidon sirintarae

  • ลักษณะ นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรเป็นประเภทนกนางแอ่นขนาดกลาง ขนาดประมาณ 12 – 13 เซนติเมตร โดยมีสีดำเหลือบด้วยเขียวเข้มทั้งตัว และมีแถบพาดขาวบริเวณตะโพก ส่วนหางจะเป็นขนคู่ที่ยื่นออกไปอย่างเรียวยาว และมีปากเป็นสีเหลืองสด
  • ที่อยู่อาศัย นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธรมีการบินย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ แต่ละฤดูกาล แต่มักพบได้ตามพื้นที่เปิดโล่งและมีแหล่งน้ำจืด หากในประเทศไทยจะพบได้ที่บริเวณบึงบอระเพ็ด ส่วนปัจจุบันไม่มีรายงานการพบเห็นเลย
  • การกิน อาหารหลักเหมือนกับนกนางแอ่นทั่วไป คือ การกินแมลงที่บินตามอากาศ
  • ฤดูผสมพันธุ์ ข้อมูลของแหล่งผสมพันธุ์และวางไข่มีระบุไว้น้อยมาก 

 

นกแต้วแล้วท้องดำ เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์ปีก เป็น 1 ใน 12 ชนิดของนกแต้วแล้วที่พบในประเทศไทย

19. นกแต้วแล้วท้องดำ

นกแต้วแล้วท้องดำ เป็นสัตว์ป่าสงวนประเภทสัตว์ปีก เป็น 1 ใน 12 ชนิดของนกแต้วแล้วที่พบในประเทศไทย โดยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ คือ Pitta gurneyi และทาง Red list ของ IUCN ได้จัดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อยู่ที่ระดับ EN (Endangered species) คือ ระดับความเสี่ยงที่ใกล้สูญพันธุ์ตามธรรมชาติค่อนข้างสูง

  • ลักษณะ เป็นนกเล็กที่ตัวอ้วน คอสั้น มีลำตัวยาว 22 เซนติเมตร โดยจุดเด่นอยู่ที่สีของนกพันธุ์นี้ จะมีหลังคอกับหางเป็นสีน้ำเงินเหลือบฟ้า ท้องและลำตัวจะเป็นสีเหลืองสดสลับพาดกับดำเป็นริ้วไปเรื่อยๆ ค่อยข้างเป็นสีที่สวยมาก  
  • ที่อยู่อาศัย บริเวณที่นกแต้วแล้วท้องดำอาศัยอยู่จะเป็นพื้นที่ป่าดิบราบต่ำ อยู่บริเวณใกล้แหล่งน้ำชื้นแฉะ
  • การกิน อาหารหลักจะเป็นแมลงบนพื้นดิน รวมถึง การขุดหาไส้เดือนมากิน และในบางครั้งก็สามารถกินกบหรือสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กอื่นๆ ได้ด้วย
  • ฤดูผสมพันธุ์ นกแต้วแล้วท้องดำจะมีระยะเวลาฤดูผสมพันธุ์ช่วงเดือนมีนาคม จนถึง เดือนมิถุนายน และวางไข่ครั้งละ 3–4 ฟอง

 

สรุป

เมื่อทำความรู้จักกับเหล่าสัตว์ป่าสงวนไปแล้วว่ามีอะไรบ้าง พร้อมเรียนรู้ว่าทำไมสัตว์เหล่านั้นถึงมีจำนวนลดลง จะเห็นได้เลยว่ามนุษย์เองก็มีส่วนทำให้สัตว์เหล่านั้นใกล้สูญพันธุ์ ส่งผลให้สัตว์หลายชนิด หลายสายพันธุ์ ต้องเป็นสัตว์สงวนที่อยู่ในการอนุรักษ์ไปอีกนานกว่าจะมีจำนวนมากขึ้น

องค์กรCheewid ของเราเป็นตัวกลางที่รวบรวมองค์กรต่างๆ ที่ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ สัตว์ และสิ่งแวดล้อม เปิดรับบริจาคให้กับองค์กรเหล่านั้นได้ไปต่อ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์สัตว์สงวนได้ง่ายๆ ผ่านการบริจาคให้กับองค์กรเพื่อสวัสดิภาพสัตว์ต่างๆ แล้วเปลี่ยนโลกให้เป็นพื้นที่ที่สิ่งมีชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลและสงบสุข

 

Reference

  1. สำนักงานข่าว กรมประชาสัมพันธ์ (NATIONAL NEWS BUREUA OF THAILAND). “สัตว์ป่าสงวน” กับ “สัตว์ป่าคุ้มครอง” ความเหมือนหรือแตกต่าง. thainews.prd.go.th. Published 18 July 2018.
  2. Twinkl. เรื่องราวน่ารู้เกี่ยวกับ สัตว์ป่าสงวน (Reserved Wild Animals). twinkl.co.th.
  3. Twinkl. IUCN Red List of Threatened Species. twinkl.co.th.
  4. โลกสีเขียว. รายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครอง. verdantplanet.org. Published 27 October 2021. Retrieved 26 December 2022.
  5. Iucnredlist. Red List of Threatened Species. iucnredlist.org.
  6. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. ระดับความเสี่ยงบัญชีแดงไอยูซีเอ็น – IUCN Red List. th.wikipedia.org. Published 9 November 2009
  7. โลกสีเขียว. กระซู่. verdantplanet.org. Published 25 August 2021. Retrieved 25 August 2021.
  8. โลกสีเขียว. กวางผา. verdantplanet.org. Published 24 August 2021. Retrieved 6 January 2023.
  9. โลกสีเขียว. กรูปรี. verdantplanet.org. Published 23 August 2021. Retrieved 23 August 2021.
  10. โลกสีเขียว. เก้งหม้อ. verdantplanet.org. Published 24 August 2021. Retrieved 27 September 2021.
  11. โลกสีเขียว. ควายป่า. verdantplanet.org. Published 24 August 2021. Retrieved 29 August 2021.
  12. โลกสีเขียว. แมวลายหินอ่อน. verdantplanet.org. Published 29 August 2021. Retrieved 29 August 2021.
  13. โลกสีเขียว. แรด. verdantplanet.org. Published 25 August 2021. Retrieved 14 October 2022.
  14. โลกสีเขียว. พะยูน. verdantplanet.org. Published 24 August 2021. Published 24 August 2021.
  15. โลกสีเขียว. เลียงผา. verdantplanet.org. Published 24 August 2021. Published 27 September 2021.
  16. โลกสีเขียว. สมเสร็จ. verdantplanet.org. Published 23 August 2021. Published 23 August 2021.
  17. โลกสีเขียว. สมัน. verdantplanet.org. Published 25 August 2021. Published 20 August 2023.
  18. โลกสีเขียว. ละมั่ง. verdantplanet.org. Published 25 August 2021. Published 28 September 2021.
  19. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. วาฬบรูด้า. th.wikipedia.org. Published 23 September 2008.
  20. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. วาฬโอมูระ.  th.wikipedia.org. Published 21 August 2017.
  21. Inspirerunner. วาฬโอมูระ. inspirerunner.com.
  22. Inspirerunner. ปลาฉลามวาฬ. inspirerunner.com.
  23. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. ปลาฉลามวาฬ.  th.wikipedia.org. Published 22 January 2009.
  24. Inspirerunner. เต่ามะเฟือง.  inspirerunner.com.
  25. โลกสีเขียว. นกกระเรียน. verdantplanet.org. Published 24 August 2021. Published 24 August 2021.
  26. โลกสีเขียว. นกแต้วแล้วท้องดำ. verdantplanet.org. Published 24 August 2021. Published 29 August 2021.
  27. วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี. นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร.  th.wikipedia.org. Published 17 December 2006.

องค์กรเพื่อสังคมที่เกี่ยวข้อง

banner - love wildlife
เราทำงานอย่างหนักเพื่อให้ความรู้แก่เยาวชน คนรุ่นใหม่ เกี่ยวกับความสำคัญของสัตว์ป่าและความเชื่อมโยงของพวกเขากับโลกที่เราทุกคนอาศัยอยู่
banner - bring the elephant home
เราทำงานเพื่อเพิ่มโอกาสในการอยู่รอดของช้าง และพยายามสร้างโลกที่คนกับช้างสามารถใช้ชีวิตร่วมกัน และทำคุณให้กันและกันได้