เข้าสู่ระบบ

Table of Contents
Recent Post
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จัก ปัญหาทางเท้าที่คนไทยต้องเจอ ทั้งฟุตบาทไม่ทนทาน รถจักรยานยนต์ ร้านค้าบนทางเท้า การออกแบบที่ไม่คิดถึงผู้พิการและผู้สูงอายุ มาสร้างทางเท้าให้ดี เพื่อชีวิตที่ดีกัน!

ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข
ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักปัญหาว่างงานในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจส่งผลกระทบในวงกว้าง ควรมีทางออกเพื่อเสริมพลังและสร้างโอกาสใหม่ให้คนไทยกลับมายืนหยัดและมีชีวิตที่ดีได้อย่างเข้มแข็ง

Key Takeaway นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คือโครงการจากรัฐบาลที่กำหนดให้ประชาชนเดินทางในเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการได้ในราคาเดียวเพียง 20 บาทตลอดสาย เป้าหมายของโครงการคือสร้างความเท่าเทียม ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสให้คนเมืองทุกกลุ่มเข้าถึงการเดินทางอย่างสะดวก ลดปัญหารถติดและมลพิษ ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาชุมชนเมือง โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของรัฐบาล กรุงเทพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการผลักดันจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่มีวิสัยทัศน์ด้านระบบขนส่งมวลชน เชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้าในราคาคงที่ ช่วยให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ความท้าทายของนโยบายนี้ คือความยั่งยืนทางการเงิน ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลชดเชยผู้ประกอบการ และปัญหาการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า ทุกวันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าทีก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เพราะค่าโดยสารที่สะสมไปแต่ละวันไม่ใช่น้อยๆ เลย แต่ลองคิดดูว่า… ถ้าเราเดินทางไกลแค่ไหนก็จ่ายเพียง 20 บาท จะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากขนาดไหน? ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ! บทความนี้พามาเจาะลึกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน เรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งพนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือแม่ค้าพ่อค้า ที่ต้องใช้รถไฟฟ้าเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางทุกวันแน่นอน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คืออะไร? โครงการค่าโดยสาร 20 บาท คือความตั้งใจง่ายๆ ที่อยากให้การเดินทางสาธารณะเป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน พนักงาน หรือผู้สูงอายุ เรื่องนี้เริ่มต้นจากคำถามว่า “ทำไมคนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงหลายระดับ บางทีแค่ไปทำงานหรือไปเรียนใกล้ๆ ก็ต้องจ่ายราคาเต็ม?” แนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวจึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยลดภาระและทำให้ทุกคนได้รับสิทธิ์เดินทางในราคาเท่ากัน ในปี 2567 ได้เริ่มทำโครงการนำร่องในสายสีแดงและสายสีม่วงแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากเลย ส่วนเรื่องการหาเงินมาจ่ายนั้น รัฐบาลไม่ได้แค่รับภาระทั้งหมดเอง แต่มีการแบ่งงบและจัดสรรเงินมาใช้ชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ให้บริการยังสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ขาดทุน กลไกนี้ช่วยให้ความมั่นคงในการเดินรถยังดำเนินไปได้ โดยรัฐจะพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการจริงและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนเป็นธรรมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจว่าจะทำให้คมนาคมสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเดินทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวที่คนทุกวัยทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ทำไมนโยบายนี้ถึงสำคัญกับคนเมือง? ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทุกวัน การเดินทางในเมืองใหญ่จึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน การมีนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองและหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาได้จริง ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายวันได้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนและคนที่ต้องเดินทางประจำ การกำหนดราคาเดียวช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทางไกล เพิ่มโอกาสในการเดินทางและใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายยังช่วยกระตุ้นให้เกิดชุมชนและธุรกิจใหม่ในเขตชานเมือง เพิ่มความสะดวกและคุณภาพชีวิตในเมืองอย่างยั่งยืน ลดปัญหารถติดและมลพิษ นโยบายนี้ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เมื่อประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ปริมาณรถติดก็ลดลงตามไปด้วย ช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การใช้รถไฟฟ้ายังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ที่สำคัญคือทำให้เมืองน่าอยู่ สะอาด และเดินทางได้คล่องตัวมากขึ้นสำหรับทุกคน สร้างเมืองที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน นโยบายนี้ไม่ได้แค่ทำให้ค่าโดยสารถูกลงเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย นักเรียน หรือผู้สูงอายุ ช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมและเป็นธรรม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทาง และทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นคนทุกกลุ่ม เป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของคนในเมืองใหญ่ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน พร้อมส่งเสริมให้คนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น สร้างความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว ความเท่าเทียมในการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเดินทาง เพราะไม่ว่าคนจะขึ้นรถไฟฟ้ากี่สายหรือต้องเดินทางไกลเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็จ่ายค่าโดยสารราคาเดียว ทำให้ทุกคนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือรัฐบาลช่วยชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ เพื่อรักษาคุณภาพบริการและทำให้นโยบายนี้ดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ นโยบายนี้ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพราะราคาค่าโดยสารที่ถูกลงทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่าย ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลยังร่วมมือกับกรุงเทพฯ ในการพัฒนาระบบตั๋วร่วมและฟีดเดอร์ระบบขนส่ง เช่น รถเมล์ที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการใช้งานระบบได้ครบวงจรขึ้น แก้ปัญหารถติด นโยบายนี้เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้ เมื่อค่าโดยสารถูกลง ผู้คนจะหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่วิ่งบนถนนในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร ยังช่วยลดเวลาการเดินทางและความเครียดของผู้ใช้ถนนด้วย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบขนส่งของเมือง ทำให้การเดินทางสะดวกและราบรื่นขึ้นโดยรวมในระยะยาว เชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมือง นโยบายนี้เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจและชุมชนเมืองเติบโตเป็นระบบ การลดค่าเดินทางช่วยเพิ่มกำลังซื้อและโอกาสทางธุรกิจในชุมชนต่างๆ เนื่องจากผู้คนสามารถเดินทางเข้า - ออกเมืองได้สะดวกและบ่อยขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าหลายสายยังช่วยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้ารวดเร็ว ทำให้ชุมชนต่างๆ มีโอกาสพัฒนาไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เบื้องหลังการผลักดันนโยบาย โครงการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพฯ พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่วางแนวนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ในขณะที่กรุงเทพฯ นำโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผลักดันให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น นโยบายรถไฟฟ้ากับชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นหัวใจของชีวิตคนเมือง ร่วมกับการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและมลพิษ พร้อมผลักดันให้โครงการได้ผลจริงในเชิงปฏิบัติ เช่น การเชื่อมโยงเส้นทางและเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคสังคมมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามผล ทำให้นโยบายนี้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองจริงๆ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท… ความท้าทายและคำถามที่ยังคงอยู่ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แม้จะได้รับการตอบรับอย่างดีและช่วยลดภาระค่าโดยสารของประชาชน แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนทางการเงินหลักๆ เพราะรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ แต่จากการศึกษาพบว่า… ต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายหลักอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อเที่ยว ทำให้นโยบายนี้เป็นไปได้ถ้าบริหารจัดการดีและมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่มั่นคง เช่น การใช้รายได้ภาษีจากภาคขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า โดยเฉพาะสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้และผลประโยชน์ของภาคเอกชน ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนและการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล ปัญหานี้ยังเป็นอุปสรรคที่ต้องเจรจาและหาข้อตกลงร่วมที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทางเลือกและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนานโยบายในอนาคต ได้แก่ การผลักดันกฎหมายตั๋วร่วมเพื่อให้ใช้บริการได้ด้วยบัตรเดียวทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทให้เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความมั่นคงและเข้าถึงได้ง่ายในระยะยาว สรุป นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคนเมือง ทำให้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ช่วยเชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมแก้ไขปัญหารถติดและมลพิษ เพิ่มคุณภาพชีวิตคนเมืองอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกรุงเทพฯ และภาคประชาสังคม ซึ่งบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมและติดตามนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง FAQ – คำถามที่พบบ่อย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทครอบคลุมทุกสายไหม? โครงการนี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) สายสีน้ำเงิน (MRT) สายสีเหลือง สายสีชมพู และ Airport Rail Link (ARL) รวมรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงที่ทำไปแล้วทั้งหมด 8 สาย รวม 13 เส้นทางและกว่า 194 สถานีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางในราคาคงที่เพียง 20 บาทตลอดสาย แม้ต้องเปลี่ยนสายก็จะไม่เกินราคานี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งผลต่อปัญหารถติดในกรุงเทพฯ อย่างไร? นโยบายนี้ช่วยลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เพราะราคาค่าโดยสารถูกลง คุณภาพชีวิตและการเดินทางจึงดีขึ้น ลดความหนาแน่นของการจราจรในช่วงเร่งด่วนได้ ประชาชนมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายนี้ได้อย่างไร? ประชาชนสามารถร่วมลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ และใช้บัตร EMV Contactless หรือบัตร Rabbit แบบ ABT เพื่อยืนยันตัวตน ร่วมกันใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการของระบบขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้นต่อไป
อนาคตเข้าถึงได้! นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท โครงการเปลี่ยนชีวิตคนเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามาเจาะลึกกับนโยบายรถไฟฟ้า20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน

ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน
ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักจากเสียงประชาชนสู่การแก้ไขจริง! Traffy Fondue คือระบบร้องเรียนของ กทม. นำเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวกรุงให้ดีขึ้น

13 วิธีการดูแลผู้สูงอายุแบบรอบด้าน คนในครอบครัวต้องรู้!

ในบทความนี้ CHEEWID จะมาแนะนำการดูแลผู้สูงวัยในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเรื่องอาหารการกิน สุขภาพร่างกาย สุขภาพจิต สุขอนามัย สภาพแวดล้อมต่างๆ เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุในครอบครัวสามารถใช้ชีวิตได้อย่างดีและมีความสุข 
13 วิธีการดูแลผู้สูงอายุแบบรอบด้าน คนในครอบครัวต้องรู้!
Table of Contents

การดูแลผู้สูงอายุไม่ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนใดคนหนึ่ง เนื่องด้วยผู้สูงอายุจำเป็นต้องได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี ควรดูแลด้วยความเข้าใจ และช่วยระมัดระวังความปลอดภัยให้รอบด้าน ที่สำคัญหากคุณมีผู้สูงอายุในครอบครัว สิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการปฏิบัติต่อผู้สูงอายุในครอบครัวอย่างเห็นคุณค่า

สาเหตุที่ผู้สูงอายุต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

สาเหตุที่ผู้สูงอายุต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ

สาเหตุที่ผู้สูงอายุหรือผู้สูงวัยควรได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้นแล้วส่งผลกระทบเชิงลบมากกว่าบวก ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่เริ่มเสื่อมถอย สังเกตได้จากการเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคกระดูกพรุน เป็นต้น หรือในด้านจิตใจเองก็มีความแปรปรวนเนื่องจากฮอร์โมนที่ไม่สมดุล ตลอดจนด้านความรู้สึกที่เป็นผลพวงมาจากปัจจัยเหล่านี้ รวมถึงปัจจัยทางสังคมอื่นๆ

ข้อมูลของกรมกิจการผู้สูงอายุ ให้คำนิยามว่า “ผู้สูงอายุคือบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป” จึงเท่ากับว่า ผู้สูงอายุคือบุคคลที่เกษียณอายุงานแล้ว ความเคยชินจากการทำงานถูกเปลี่ยนผ่านไปยังการว่างงาน ซึ่งอาจพ่วงมาด้วยความเหงา และความรู้สึกไร้ค่า จึงจําเป็นที่ครอบครัวและสังคมต้องให้ความสําคัญและวางแผนดูแลผู้สูงอายุเป็นพิเศษ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถดํารงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีในบั้นปลาย

เตรียมพร้อมให้ผู้สูงอายุดูแลตนเองก่อน

เตรียมพร้อมให้ผู้สูงอายุดูแลตนเองก่อน

การที่ผู้สูงอายุสามารถดูแลตัวเองได้นั้น นับเป็นสิ่งที่ดีกับทุกคนในบ้าน ฝ่ายคนในครอบครัวก็จะได้สบายใจว่าอย่างน้อยผู้สงอายุยังพอดูแลตัวเองได้บ้าง ส่วนผู้สูงอายุเองจะได้ไม่รู้สึกว่าตัวเองป่วยหรือจำเป็นต้องมีคนดูแลอยู่ตลอด เพราะแม้อายุที่มากขึ้นจะส่งผลให้ทำกิจกรรมต่างๆ ได้น้อยลงและช้าลง แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ซึ่งครอบครัวสามารถเตรียมพร้อมในด้านต่างๆ ให้กับผู้สูงอายุได้ดังนี้

เตรียมพร้อมทางร่างกาย

การเตรียมความพร้อมทางร่างกายให้กับผู้สูงวัย จะเป็นการดูแลเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวันให้ เช่น ที่อยู่อาศัย     การกิน การพักผ่อน การออกกำลังกาย เป็นต้น ไม่ควรให้ผู้สูงอายุทำงานหนักหรือทำอะไรต่างๆ ที่หักโหมเกินร่างกายตัวเอง ลูกหลานควรช่วยแบ่งเบาภาระเพื่อให้ผู้สูงอายุได้พักผ่อนและจัดสรรเวลาเพื่อพาผู้สูงอายุในบ้านไปตรวจสุขภาพเป็นประจำ

เตรียมพร้อมทางจิตใจ

ผู้สูงอายุมักมีอารมณ์แปรปรวน ทั้งสุข ทั้งเศร้า และวิตกกังวล โดยสามารถเกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติของวัย หรือเกิดจากการที่ผู้สูงอายุต้องปรับตัวรับมือการเปลี่ยนแปลงหลายด้านพร้อมกัน  หรืออาจเกิดจากการเจ็บป่วย บางครั้งอาจแสดงออกเป็นความหงุดหงิด หรือบางรายก็อาจเฉื่อยชาสิ่งที่ควรเตรียมพร้อมคือต้องเข้าใจในอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของพวกท่าน อย่าทำให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าเราเหนื่อยในการดูแล ควรหันมาสนใจในตัวผู้สูงอายุให้มากขึ้น เน้นพูดคุยและรับฟังให้ได้มากที่สุด เพื่อให้จิตใจของท่านแจ่มใส รับรู้ถึงความใส่ใจจากคนรอบตัว และหากมีอาการที่น่ากังวล ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและคำแนะนำเพิ่มเติม

เตรียมพร้อมทางสังคม

คนในครอบครัวอาจสนับสนุนกิจกรรมจรรโลงใจที่ผู้สูงอายุชื่นชอบและสามารถทำได้ เช่น การเข้าร่วมชมรมกีฬาผู้สูงอายุ หรือคอมมูนิตี้สร้างสรรค์ที่น่าเชื่อถือ เพื่อให้ผู้สูงอายุได้เห็นคุณค่าในศักยภาพของตน ทั้งยังได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนวัยเดียวกัน ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้สูงอายุมีการพัฒนาทักษะทางสังคม ความคิด และอารมณ์อย่างรอบด้าน

นอกจากนี้ ครอบครัวไม่ควรละเลยความสำคัญของกฎหมาย สิทธิและผลประโยชน์ที่ผู้สูงอายุพึงได้รับจากภาครัฐและภาคสังคมด้วย แต่ควรเรียนรู้ไปพร้อมกันกับผู้สูงอายุ โดยอาจศึกษาได้จากสื่อและช่องทางตัวอย่างเหล่านี้

  • เติมรู้ เตรียมพร้อม ก่อนสูงวัย คู่มือสร้างความตระหนักรู้ 5 ด้าน (สุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ ที่อยู่อาศัย สภาพแวดล้อม และเทคโนโลยี) เพื่อเตรียมความพร้อมสู่วัยสูงอายุ โดยกองส่งเสริมศักยภาพผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ
  • ลุยไม่รู้โรย สื่อที่ช่วยให้เราได้ทำความเข้าใจผู้สูงวัย ตื่นรู้พร้อมรับมือกับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต จาก Thai PBS

 

วิธีดูแลผู้สูงอายุ

วิธีดูแลผู้สูงอายุ

วิธีการดูแลผู้สูงอายุให้ได้รับความอบอุ่นและมีความสุขอยู่ในบ้านกับลูกหลานได้ทุกวัน ไม่ใช่หน้าที่ของคนใดคนหนึ่งในครอบครัว แต่คือหน้าที่ของทุกคน ไปดูกันว่ามีวิธีอะไรบ้างที่จะช่วยดูแลร่างกายและจิตใจของผู้สูงอายุให้สดชื่นแจ่มใส่อยู่เสมอ

1. ให้ความสำคัญในเรื่องอาหาร

คนในครอบครัวต้องมีการดูแลผู้สูงอายุ โดยเลือกเมนูอาหารที่ดี มีประโยชน์ ส่งผลดีกับร่างกายของผู้สูงอายุ อาหารที่ทานได้ต้องเป็นอาหารที่ปรุงสุกอย่างดี มีไขมันที่พอเหมาะ ส่วนโปรตีนกินได้แต่ไม่ควรมากเกินไป ต้องเสริมด้วยวิตามิน แร่ธาตุเพื่อเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด ตลอดจนอาหารที่เคี้ยวหรือย่อยยาก

2. พาผู้สูงอายุออกกำลังกาย

คนในครอบครัวควรดูแลผู้สูงอายุโดยพาผู้สูงอายุออกไปสัมผัสบรรยากาศนอกบ้านบ่อยๆ ยิ่งทุกวันยิ่งดี โดยแนะนำให้นำผู้สูงอายุเดินเหยาะๆ เล็กน้อยในระยะทางสั้นๆ ถือเป็นการกระตุ้นการเต้นของหัวใจให้แข็งแรง รวมไปถึงบริหารส่วนต่างๆ ในร่างกาย

ส่วนการออกกำลังกายที่ผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาดคือ การออกกำลังกายที่ต้องใช้แรงเยอะเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการยกสิ่งที่มีน้ำหนักมาก การวิ่งในระยะไกล การว่ายน้ำ และกีฬาจำพวกผาดโผนหรือผจญภัย เนื่องจากกีฬาเหล่านี้ต้องใช้ส่วนข้อเข่า ข้อแขนเป็นหลัก ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บและข้อเสื่อมได้ง่ายในผู้สูงอายุ ทั้งยังอาจไปกระตุ้นความดันโลหิตให้สูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน

ควบคุมน้ำหนักของผู้สูงอายุ

3. ควบคุมน้ำหนักของผู้สูงอายุ

การควบคุมน้ำหนักของผู้สูงอายุเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจตามมา ต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจว่า โดยทั่วไปผู้สูงอายุต้องการพลังงานแตกต่างกับวัยอื่นอย่างชัดเจน โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้สูงอายุต้องการพลังงานต่อวันราว 1,600 กิโลแคลอรี่ ในขณะที่วัยรุ่นและวัยกลางคนต้องการพลังงานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2,000 กิโลแคลอรี่ และ 2,200 กิโลแคลอรี่ สำหรับผู้ที่ใช้พลังงานมากจากการทำงานหรือเล่นกีฬา

ครอบครัวควรหมั่นสังเกตและดูแลปริมาณอาหารและพลังงานที่ผู้สูงอายุควรได้รับต่อวัน ควบคู่ไปกับการดูแลให้ได้รับสารอาหารที่เหมาะสม เพราะหากได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อวัน อาจก่อให้เกิดภาวะทุพโภชนาการในผู้สูงอายุ หรือหากได้รับมากเกินไปอาจส่งผลให้น้ำหนักเกิน และเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ 

4. หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

เมื่อสามารถควบคุมน้ำหนักได้เป็นอย่างดีแล้ว การหลีกเลี่ยงในสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ถือเป็นสิ่งที่ควรทำตามด้วยเช่นกัน คนในครอบครัวเองควรมีการดูแลผู้สูงอายุไม่ให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสูบบุหรี่ หรือหากคนในบ้านสูบบุหรี่ก็ไม่ควรสูบใกล้กับผู้สูงอายุ เพราะควันบุหรี่จะลามถึงระบบหายใจของผู้สูงอายุได้ 

5. ระวังการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม

เมื่ออายุมากขึ้นปัญหาการมองเห็นเริ่มมาเยือน ผู้สูงวัยบางคนเมื่อหยิบยามากินเองอาจหยิบผิดหยิบถูก หรืออาจหยิบเกินจำนวนที่ควรรับประทานได้ จึงควรช่วยกันดูแล จัดยาไว้ให้ผู้สูงอายุให้ถูกต้องตามจำนวนที่ควรรับประทาน

อีกกรณีคือ ควรระวังการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมสำหรับผู้สูงอายุ ไม่ควรให้ผู้สูงอายุกินยาประเภทกระตุ้นหัวใจรุนแรง เพราะจะทำให้ผู้สูงอายุกระตุก เกร็ง หรือมีอาการช็อกได้

ตรวจสุขภาพประจำปีผู้สูงอายุ

6. ตรวจสุขภาพประจำปี

คนในครอบครัวควรพาผู้สูงอายุไปตรวจสุขภาพประจำปีที่โรงพยาบาลเป็นประจำสม่ำเสมอ  เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหรือเมื่อพบโรคจะได้รักษาอย่างทันท่วงที แต่หากคนในครอบครัวไม่ค่อยมีเวลา มีภาระงานมาก ทาง Joy Ride Thailand ก็มีบริการรถรับส่งพาผู้สูงอายุไปหาหมอในวันที่ญาติไม่อยู่บ้าน โดยบริการดูแลผู้สูงอายุด้วยความใส่ใจทุกขั้นตอน จริงใจดุจญาติมิตร ญาติต้องการอะไรแบบไหนก็สามารถรีเควสได้ เพื่อให้เกิดความอุ่นใจได้ว่าผู้สูงวัยของคุณจะได้รับการตรวจสุขภาพประจำปีทุกๆ ปีตามเวลาที่เหมาะสม

7. ทำกิจกรรมร่วมกันกับผู้สูงอายุ

การทำกิจกรรมร่วมกันกับผู้สูงอายุเป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้สูงอายุได้ โดยคนในครอบครัวควรหาเวลาอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากันให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ผู้สูงอายุรู้สึกว่าลูกหลานไม่ได้หายไปไหน เมื่ออยู่ด้วยกันแล้วก็ลองหากิจกรรมอะไรง่ายๆ ทำร่วมกันดู อย่างการทำงานบ้าน หรืออาจจะเป็นการเล่นเกมที่ผู้สูงวัยสามารถทำได้ เล่นแล้วมีโอกาสชนะ เพื่อสร้างกำลังใจให้กับผู้สูงอายุว่าอย่างน้อยตัวเองก็ยังสามารถเล่นเกมชนะได้ในวัยนี้ อีกทั้งการทำกิจกรรมร่วมกันยังช่วยให้ใกล้ชิดกับผู้สูงอายุมากขึ้นอีกด้วย 

8. ปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม

สิ่งที่คนในครอบครัวไม่ควรมองข้ามในการดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน คือการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม เมื่อกลายเป็นผู้สูงอายุ การได้รับอากาศดีๆ สดชื่นผ่อนคลายจากแมกไม้ จะทำให้ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตดี อีกทั้งควรจัดพื้นที่ในบ้านให้ผู้สูงอายุเดินเหินได้สะดวก เพื่อเอื้อต่อการอยู่อาศัยรวมไปถึงความปลอดภัย ควรเตรียมห้องของผู้สูงอายุให้อยู่ใกล้ชิดกับทุกคนในบ้าน รวมถึงควรอยู่ใกล้กับห้องน้ำเพื่อไม่ให้ผู้สูงอายุเดินไกล มีรองเท้ากันลื่นในห้องน้ำ ภายในบ้านต้องหมั่นทำความสะอาดมากกว่าเดิม ไม่ควรให้มีฝุ่นหนาเกาะบนผ้า เพราะอาจจะส่งผลต่อระบบหายใจของผู้สูงอายุได้

ดูแลสภาพจิตใจของผู้สูงอายุ

9. ดูแลสภาพจิตใจของผู้สูงอายุ

การดูแลสภาพจิตใจของผู้สูงอายุเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ผู้สูงอายุมักต้องการกำลังใจและคำพูดดีๆ จากคนรอบข้าง ยิ่งเป็นคนในครอบครัวด้วยแล้วยิ่งต้องพยายามประนีประนอมกับความผิดพลาดจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อไม่ให้ผู้สูงอายุน้อยใจ วิตกกังวล เครียด หรือหงุดหงิดง่าย

คนในบ้านอาจเสริมด้วยการหาอะไรให้ผู้ใหญ่ที่บ้านทำเพื่อคลายเครียด เช่น ดูหนัง ฟังเพลง เต้นรำ ซึ่งเราสามารถช่วยดูแลหรืออำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุได้หากผู้สูงอายุมีกิจกรรมอะไรที่อยากทำ หรืออาจพาท่านออกจากบ้านบ้างเพื่อไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนวัยเดียวกันก็ได้เช่นกัน

10. หมั่นสังเกตพฤติกรรมต่างๆ ของผู้สูงอายุ

คนในครอบครัวต้องช่วยกันสังเกตพฤติกรรมหรือความผิดปกติของผู้สูงอายุที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการเบื่ออาหาร พูดคุยน้อยลง ฯลฯ การดูแลผู้สูงอายุที่บ้านก็เหมือนกับมีเด็กเล็กอยู่ในบ้าน ไม่ใช่ในแง่ความซุกซน แต่เป็นการดูแลให้อยู่ในสายตา หากมีสิ่งใดผิดแปลกไปทางครอบครัวจะได้สามารถรับมือและป้องกันสิ่งต่างๆ ได้ทันท่วงที

11. ดูแลเรื่องสุขอนามัย 

ไม่ว่าจะวัยไหนๆ เรื่องสุขอนามัยก็เป็นสิ่งที่สำคัญ ยิ่งกับผู้สูงอายุยิ่งต้องดูแลสุขอนามัยให้ดีเป็นพิเศษ ด้วยเป็นวัยที่ภูมิคุ้มกันเริ่มต่ำลง ทำให้คนรอบข้างและตัวผู้สูงอายุต้องรู้จักดูแลตัวเองเป็นอย่างดี มีการทำความสะอาดส่วนต่างๆ ของร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ อาหารการกินก็ต้องถูกหลักอนามัยเช่นเดียวกัน 

ระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในผู้สูงอายุ

12. ระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ

คนในครอบครัวต้องมีการดูแลและช่วยกันระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในผู้สูงอายุ เพราะเมื่อไรที่เกิดขึ้นแล้ว การฟื้นฟูส่วนที่ถูกกระทบกระเทือนจะกลายเป็นเรื่องยาก อย่างที่ทราบกันดีว่าร่างกายของผู้สูงวัยเริ่มเสื่อมลงตามช่วงวัยที่มากขึ้น ไม่ว่าเป็นการกระทบกระเทือนเล็กน้อยหรือรุนแรงล้วนไม่เป็นผลดีทั้งนั้น คนรอบข้างจึงควรช่วยกันระมัดระวังให้มากที่สุด

13. ควรให้ผู้สูงอายุได้ร่วมตัดสินใจ

สิ่งสำคัญอีกอย่างที่คนในครอบครัวควรจะใส่ใจ คือควรทำให้ผู้สูงวัยรู้สึกว่าไม่มีใครมาบงการชีวิตตัวเองเหมือนตอนเด็ก อย่าไปลดทอนความสามารถ ความคิดความอ่านของท่าน คนในครอบครัวหรือคนรอบข้างควรทำการดูแลโดยให้ผู้สูงอายุได้ตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ที่คิดว่าผู้สูงอายุในบ้านก็ตัดสินใจได้ ถือเป็นการให้ความสำคัญกับผู้สูงอายุ และทำให้ผู้สูงอายุได้เห็นคุณค่าในตนเองว่ายังคงเป็นที่พึ่งให้กับคนในครอบครัวได้อยู่ อีกทั้งคนในครอบครัวควรเข้าใจและยอมรับในสิ่งที่ผู้สูงอายุได้ตัดสินใจไป หากมีอะไรที่ไม่เห็นด้วยจริงๆ ก็ควรอธิบายให้ผู้สูงอายุเข้าใจ และลองให้เขาเลือกวิธีใหม่ที่ดีกว่าเดิมในภายหลัง 

 

สรุป

การดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวอาจดูไม่ง่ายแต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป ทุกอย่างต้องเริ่มจากการเรียนรู้ ทำความเข้าใจในธรรมชาติของผู้สูงอายุ เมื่อครอบครัวมีจุดเริ่มต้นที่ดี เส้นทางการดูแลก็จะเป็นไปด้วยความราบรื่น คนในครอบครัวจำเป็นต้องใส่ใจในทุกๆ รายละเอียด ดูแลด้วยความเข้าใจและยังเห็นคุณค่าของผู้สูงอายุอยู่เสมอ เพื่อให้ส่งผลดีต่อสุขภาพกายและสุขภาพใจ ทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความสุข สามารถอยู่กับลูกกับหลานไปได้นานๆ

 

Reference

  1. นางสาวยมลภัทร เทศนา, นางสาวละอองดาว เครือวงษ์. โภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ. nutrition2.anamai.moph.go.th. Retrieved 22 March 2024
  2. กองส่งเสริมศักยภาพผู้สูงอายุ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์. เติมรู้ เตรียมพร้อม ก่อนสูงวัย. dop.go.th. Published September 2019. Retrieved 22 March 2024
  3. มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่. บทที่ 4 อาหารและโภชนาการสำหรับบุคคลในวัยต่าง ๆ. gened2.cmru.ac.th. Retrieved 22 March 2024

องค์กรเพื่อสังคมที่เกี่ยวข้อง

logo - foroldy

โครงการเพื่อผู้สูงอายุ-forOldy

เราสร้างกลไกการดูแลผู้สูงอายุโดยระบบอาสาสมัครดูแลผู้อายุที่บ้านในชุมชนเมือง ร้านคุณตาคุณยาย รับบริจาคและบริการอุปกรณ์การแพทย์ มือสอง นำรายได้ดำเนินกิจกรรมพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุชุมชนเมือง
banner - joyride

Joy Ride Thailand รถรับส่งพาผู้สูงอายุไปหาหมอ

เราเป็นเหมือนลูกรับจ้างหลานจำเป็น พาไปหาหมอ ตรวจสุขภาพ กายภาพ ฉายแสง ฟอกไต ส่องกล้อง คีโม พาไปซื้อของ พาไปเที่ยว พาไปทำเลสิก ออกกำลังกาย พาไปติดต่อราชการ พาไปเสริมสวยตัดผม หรือพาแม่ท้อง เด็กแรกคลอดไปโรงพยาบาล เราก็พร้อมดูแล
logo - siam able

บริษัท สยามเอเบิ้ล อินโนเวชั่น (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด

เราจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับช่วยเหลือผู้พิการ ผู้สูงอายุ ที่หลากหลายด้วยความเชี่ยวชาญ และการบริการที่ดีพร้อมกับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พิการ และผู้สุงอายุให้ดีขึ้น

YoungHappy

เราเป็นกิจการเพื่อสังคม ที่มุ่งสร้างคอมมูนิตี้ของผู้สูงอายุในประเทศไทยและทั่วโลก โดยยังแฮปปี้ มีความตั้งใจสร้างสังคมเพื่อผู้สูงอายุและเปลี่ยนแปลงมุมมองของสังคมที่มีต่อผู้สูงอายุ เพื่อผู้สูงอายุจะ “สนุก มีคุณค่า พึ่งพาตัวเองได้”
banner - หุ่นยนต์ดินสอ
logo - หุ่นยนต์ดินสอ

หุ่นยนต์ดินสอ

หุ่นยนต์ที่ช่วยดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง และการแพทย์ สามารถตั้งไว้ข้างเตียงเพื่อคอยช่วยเหลือผู้สูงอายุ โดยจะมีระบบแจ้งเตือนต่างๆ ช่วยให้แพทย์และครอบครัวสามารถเก็บข้อมูลได้โดยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ทั้งยังพัฒนาให้กลายเป็นผู้ช่วยแพทย์