เข้าสู่ระบบ

Table of Contents
Recent Post
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จัก ปัญหาทางเท้าที่คนไทยต้องเจอ ทั้งฟุตบาทไม่ทนทาน รถจักรยานยนต์ ร้านค้าบนทางเท้า การออกแบบที่ไม่คิดถึงผู้พิการและผู้สูงอายุ มาสร้างทางเท้าให้ดี เพื่อชีวิตที่ดีกัน!

ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข
ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักปัญหาว่างงานในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจส่งผลกระทบในวงกว้าง ควรมีทางออกเพื่อเสริมพลังและสร้างโอกาสใหม่ให้คนไทยกลับมายืนหยัดและมีชีวิตที่ดีได้อย่างเข้มแข็ง

Key Takeaway นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คือโครงการจากรัฐบาลที่กำหนดให้ประชาชนเดินทางในเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการได้ในราคาเดียวเพียง 20 บาทตลอดสาย เป้าหมายของโครงการคือสร้างความเท่าเทียม ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสให้คนเมืองทุกกลุ่มเข้าถึงการเดินทางอย่างสะดวก ลดปัญหารถติดและมลพิษ ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาชุมชนเมือง โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของรัฐบาล กรุงเทพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการผลักดันจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่มีวิสัยทัศน์ด้านระบบขนส่งมวลชน เชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้าในราคาคงที่ ช่วยให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ความท้าทายของนโยบายนี้ คือความยั่งยืนทางการเงิน ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลชดเชยผู้ประกอบการ และปัญหาการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า ทุกวันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าทีก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เพราะค่าโดยสารที่สะสมไปแต่ละวันไม่ใช่น้อยๆ เลย แต่ลองคิดดูว่า… ถ้าเราเดินทางไกลแค่ไหนก็จ่ายเพียง 20 บาท จะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากขนาดไหน? ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ! บทความนี้พามาเจาะลึกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน เรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งพนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือแม่ค้าพ่อค้า ที่ต้องใช้รถไฟฟ้าเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางทุกวันแน่นอน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คืออะไร? โครงการค่าโดยสาร 20 บาท คือความตั้งใจง่ายๆ ที่อยากให้การเดินทางสาธารณะเป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน พนักงาน หรือผู้สูงอายุ เรื่องนี้เริ่มต้นจากคำถามว่า “ทำไมคนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงหลายระดับ บางทีแค่ไปทำงานหรือไปเรียนใกล้ๆ ก็ต้องจ่ายราคาเต็ม?” แนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวจึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยลดภาระและทำให้ทุกคนได้รับสิทธิ์เดินทางในราคาเท่ากัน ในปี 2567 ได้เริ่มทำโครงการนำร่องในสายสีแดงและสายสีม่วงแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากเลย ส่วนเรื่องการหาเงินมาจ่ายนั้น รัฐบาลไม่ได้แค่รับภาระทั้งหมดเอง แต่มีการแบ่งงบและจัดสรรเงินมาใช้ชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ให้บริการยังสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ขาดทุน กลไกนี้ช่วยให้ความมั่นคงในการเดินรถยังดำเนินไปได้ โดยรัฐจะพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการจริงและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนเป็นธรรมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจว่าจะทำให้คมนาคมสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเดินทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวที่คนทุกวัยทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ทำไมนโยบายนี้ถึงสำคัญกับคนเมือง? ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทุกวัน การเดินทางในเมืองใหญ่จึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน การมีนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองและหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาได้จริง ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายวันได้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนและคนที่ต้องเดินทางประจำ การกำหนดราคาเดียวช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทางไกล เพิ่มโอกาสในการเดินทางและใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายยังช่วยกระตุ้นให้เกิดชุมชนและธุรกิจใหม่ในเขตชานเมือง เพิ่มความสะดวกและคุณภาพชีวิตในเมืองอย่างยั่งยืน ลดปัญหารถติดและมลพิษ นโยบายนี้ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เมื่อประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ปริมาณรถติดก็ลดลงตามไปด้วย ช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การใช้รถไฟฟ้ายังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ที่สำคัญคือทำให้เมืองน่าอยู่ สะอาด และเดินทางได้คล่องตัวมากขึ้นสำหรับทุกคน สร้างเมืองที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน นโยบายนี้ไม่ได้แค่ทำให้ค่าโดยสารถูกลงเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย นักเรียน หรือผู้สูงอายุ ช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมและเป็นธรรม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทาง และทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นคนทุกกลุ่ม เป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของคนในเมืองใหญ่ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน พร้อมส่งเสริมให้คนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น สร้างความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว ความเท่าเทียมในการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเดินทาง เพราะไม่ว่าคนจะขึ้นรถไฟฟ้ากี่สายหรือต้องเดินทางไกลเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็จ่ายค่าโดยสารราคาเดียว ทำให้ทุกคนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือรัฐบาลช่วยชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ เพื่อรักษาคุณภาพบริการและทำให้นโยบายนี้ดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ นโยบายนี้ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพราะราคาค่าโดยสารที่ถูกลงทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่าย ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลยังร่วมมือกับกรุงเทพฯ ในการพัฒนาระบบตั๋วร่วมและฟีดเดอร์ระบบขนส่ง เช่น รถเมล์ที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการใช้งานระบบได้ครบวงจรขึ้น แก้ปัญหารถติด นโยบายนี้เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้ เมื่อค่าโดยสารถูกลง ผู้คนจะหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่วิ่งบนถนนในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร ยังช่วยลดเวลาการเดินทางและความเครียดของผู้ใช้ถนนด้วย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบขนส่งของเมือง ทำให้การเดินทางสะดวกและราบรื่นขึ้นโดยรวมในระยะยาว เชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมือง นโยบายนี้เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจและชุมชนเมืองเติบโตเป็นระบบ การลดค่าเดินทางช่วยเพิ่มกำลังซื้อและโอกาสทางธุรกิจในชุมชนต่างๆ เนื่องจากผู้คนสามารถเดินทางเข้า - ออกเมืองได้สะดวกและบ่อยขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าหลายสายยังช่วยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้ารวดเร็ว ทำให้ชุมชนต่างๆ มีโอกาสพัฒนาไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เบื้องหลังการผลักดันนโยบาย โครงการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพฯ พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่วางแนวนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ในขณะที่กรุงเทพฯ นำโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผลักดันให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น นโยบายรถไฟฟ้ากับชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นหัวใจของชีวิตคนเมือง ร่วมกับการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและมลพิษ พร้อมผลักดันให้โครงการได้ผลจริงในเชิงปฏิบัติ เช่น การเชื่อมโยงเส้นทางและเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคสังคมมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามผล ทำให้นโยบายนี้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองจริงๆ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท… ความท้าทายและคำถามที่ยังคงอยู่ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แม้จะได้รับการตอบรับอย่างดีและช่วยลดภาระค่าโดยสารของประชาชน แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนทางการเงินหลักๆ เพราะรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ แต่จากการศึกษาพบว่า… ต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายหลักอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อเที่ยว ทำให้นโยบายนี้เป็นไปได้ถ้าบริหารจัดการดีและมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่มั่นคง เช่น การใช้รายได้ภาษีจากภาคขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า โดยเฉพาะสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้และผลประโยชน์ของภาคเอกชน ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนและการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล ปัญหานี้ยังเป็นอุปสรรคที่ต้องเจรจาและหาข้อตกลงร่วมที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทางเลือกและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนานโยบายในอนาคต ได้แก่ การผลักดันกฎหมายตั๋วร่วมเพื่อให้ใช้บริการได้ด้วยบัตรเดียวทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทให้เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความมั่นคงและเข้าถึงได้ง่ายในระยะยาว สรุป นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคนเมือง ทำให้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ช่วยเชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมแก้ไขปัญหารถติดและมลพิษ เพิ่มคุณภาพชีวิตคนเมืองอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกรุงเทพฯ และภาคประชาสังคม ซึ่งบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมและติดตามนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง FAQ – คำถามที่พบบ่อย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทครอบคลุมทุกสายไหม? โครงการนี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) สายสีน้ำเงิน (MRT) สายสีเหลือง สายสีชมพู และ Airport Rail Link (ARL) รวมรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงที่ทำไปแล้วทั้งหมด 8 สาย รวม 13 เส้นทางและกว่า 194 สถานีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางในราคาคงที่เพียง 20 บาทตลอดสาย แม้ต้องเปลี่ยนสายก็จะไม่เกินราคานี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งผลต่อปัญหารถติดในกรุงเทพฯ อย่างไร? นโยบายนี้ช่วยลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เพราะราคาค่าโดยสารถูกลง คุณภาพชีวิตและการเดินทางจึงดีขึ้น ลดความหนาแน่นของการจราจรในช่วงเร่งด่วนได้ ประชาชนมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายนี้ได้อย่างไร? ประชาชนสามารถร่วมลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ และใช้บัตร EMV Contactless หรือบัตร Rabbit แบบ ABT เพื่อยืนยันตัวตน ร่วมกันใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการของระบบขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้นต่อไป
อนาคตเข้าถึงได้! นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท โครงการเปลี่ยนชีวิตคนเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามาเจาะลึกกับนโยบายรถไฟฟ้า20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน

ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน
ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักจากเสียงประชาชนสู่การแก้ไขจริง! Traffy Fondue คือระบบร้องเรียนของ กทม. นำเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวกรุงให้ดีขึ้น

รวม 10 แบรนด์สุราไทย เมรัยรสเลิศถูกปากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ

บทความนี้ CHEEWID จะพาไปทำความรู้จักประวัติความเป็นมาของสุราไทย พร้อมทำความรู้จักประเภทสุราไทยที่น่าสนใจ และแบรนด์สุราไทยรสเลิศที่น่าจับตามอง
รวม 10 แบรนด์สุราไทย เมรัยรสเลิศถูกปากทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ
Table of Contents

 

Key Takeaway

  • เหล้าไทย มีข้อสันนิษฐานว่าเกิดจากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่นำเอาข้าวจากการเพาะปลูกมาแปรรูป อีกทั้งจากการเข้ามาของชาวจีนอพยพในสมัยก่อนจึงทำให้เกิดการผลิตสุราไทยมากยิ่งขึ้น 
  • สุราไทยกำลังเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในไทยและต่างประเทศ อีกทั้งปัจจุบันภาครัฐยังมีการออกกฎหมายสุรา เพื่อช่วยให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถผลิตเหล้าไทยได้ภายใต้การดูแลและการควบคุมอย่างถูกต้อง 
  • ในปัจจุบันสุราพื้นบ้านไทยกำลังเป็นที่จับตามองอย่างมาก เนื่องจากคนไทยหันมาสนับสนุนผู้ผลิตรายย่อย เกษตรกรและชุมชน ให้มีรายได้มากยิ่งขึ้น และด้วยไทยเป็นประเทศที่สามารถผลิตวัตถุดิบในการกลั่นและหมักเหล้าอย่างมีคุณภาพ จึงทำให้รสชาติของเหล้าไทยเป็นที่ชื่นชอบของนักดื่มอย่างยิ่ง 

 

ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งการทำกสิกรรม เนื่องด้วยสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตของพืชผลทางเกษตรจึงทำให้ไทยสามารถเพาะปลูกพืชผลเพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ได้มากมาย ดังนั้นเนื่องด้วยเอกลักษณ์และทางธรรมชาติและความสามารถในการเพาะปลูกส่งผลให้การผลิตสุราไทยผ่านวัตถุดิบเหล่านี้มีความพิเศษและน่าสนใจอย่างยิ่ง บทความนี้จะพาไปทำความรู้จักกับประวัติความเป็นมาของสุราไทย และพาไปรู้จักกับประเภทของสุราไทยที่น่าสนใจและแบรนด์สุราพื้นบ้านไทยที่น่าจับตามอง

 

ความเป็นมาของสุราไทย กว่าจะมาเป็นเมรัยเลิศรส

 

ความเป็นมาของสุราไทย กว่าจะมาเป็นเมรัยเลิศรส

การเกิดขึ้นของ “สุราไทย” มาจากการสันนิษฐานเนื่องด้วยประเทศไทยมีประวัติศาสตร์ของการปลูกข้าวมาอย่างยาวนานจึงอาจทำให้เกิดการคิดค้นภูมิปัญญาเหล้าไทย และจากหลักฐานการบันทึกของชาวจีนพบว่า ในปี พ.ศ. 2493-2495  คนไทยได้นำอ้อยมากลั่นเป็นสุรา อีกทั้งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชคนไทยมีเครื่องดื่มที่เรียกว่า เหล้าโรง (หรือเหล้าโรงงานจีน) และอีกทั้งการค้าขายกับชาติตะวันตกจึงทำให้คนไทยเริ่มรู้จักสุรามากยิ่งขึ้น

แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากวัฒนธรรมไทยที่ผูกเข้ากับความเป็นศาสนาพุทธจึงทำให้เครื่องดื่มของมึนเมาเหล่านี้ไม่เป็นที่นิยมมากเท่าไรนัก หากแต่เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 3-5 ของกรุงรัตนโกสินทร์ ความนิยมของคนไทยในการดื่มสุราก็เพิ่มสูงขึ้นมาก จากการอพยพเข้ามาของชาวจีน ที่นำพาวัฒนธรรมการดื่มสุราเข้ามาจึงทำให้ความต้องการในสุรามีเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

 

 

สถานการณ์สุราไทยในปัจจุบัน ที่ทั่วโลกจับตามอง

เนื่องด้วยประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตพืชผลทางการเกษตรจึงทำให้เหมาะอย่างยิ่งที่จะนำผลผลิตที่ได้มาทำเป็นวัตถุดิบในการทำเหล้าไทย ในปัจจุบันอุตสาหกรรมสุราไทยกำลังเติบโตและมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการได้รับการยอมรับและได้รับการสนับสนุนทั้งจากภาคเอกชน ภาคประชาชนก็เริ่มให้ความสนใจกับเหล้าไทยมากยิ่งขึ้น

ในขณะที่ภาครัฐเองก็ช่วยยกระดับและยืดหยุ่นกับการผลิตสุราไทย ผ่านกฎหมายเหล้าไทย เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อย หรือผู้ทำการเกษตรสามารถนำวัตถุดิบไปทำสุราได้ภายใต้การขออนุญาตและการรับรองจากรัฐ ซึ่งนี่เองจะช่วยทำให้สุราไทยกลายมาเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ทางเศรษฐกิจที่จะช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชน และสร้างชื่อเสียงให้กับไทยได้ในอนาคต 

 

ประเภทสุราพื้นบ้านฝีมือคนไทย ที่ใครก็อยากลิ้มรส

 

ประเภทสุราพื้นบ้านฝีมือคนไทย ที่ใครก็อยากลิ้มรส

เหล้าไทยกำลังเป็นที่พูดถึงอยากมากในปัจจุบันซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่งต่อชุมชนและผู้มีส่วนในการผลิต โดยประเภทเหล้าไทยสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท  ดังนี้ 

  • สาโท มีวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตมากตากข้าวที่นำมาหมักกับลูกแป้ง ซึ่งแป้งก็จะถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาล เมื่อหมักต่อไปเรื่อยๆ น้ำตาลก็จะกลายเป็นแอลกอฮอล์ ซึ่งปริมาณแอลกอฮอล์จะอยู่ที่ 15 ดีกรี
  • อุ หรือ เหล้าไห ใช้วัตถุดิบหลักในการทำมาจากข้าวเหนียว และแกลบ โดยจะหมักไว้ในไหและปิดไหให้สนิท สามารถดื่มได้จากการใช้หลอดดื่ม ปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 5-10 ดีกรี 
  • น้ำตาลเมา หรือกระแช่ มีวัตถุดิบหลักมาจากน้ำตาลสดที่นำไปหมัก โดยกรรมวิธีในการทำจากการใช้กระบอกรองน้ำที่ไหลมาจากการปาดต้นตาล หลังจากนั้นจะนำไม้เคี่ยม ไม้พะยอม หรือไม่ตะเคียนใส่ไปในกระบอก น้ำตาลและไม้ก็จะทำปฏิกิริยาระหว่างกันจนได้ยีสต์ธรรมชาติ และกลายเป็นแอลกอฮอล์ ซึ่งใช้เวลาในการหมักประมาณ 1 วัน ซึ่งปริมาณแอลกอฮอล์จะอยู่ที่ 6-9 ดีกรี 
  • เหล้าขาว หรือ เหล้ากลั่น ใช้วัตถุดิบหลักจากการหมักข้าวโพด หรืออ้อย ให้เป็นน้ำตาล จากนั้นจึงเติมยีสต์เพิ่มเข้าไป โดยเมื่อยีสต์กินน้ำตาลจนหมดแล้วก็จะคายแอลกอฮอล์ออกมา และจึงนำไปกลั่นเพื่อเพิ่มดีกรีให้สูงขึ้น ซึ่งเหล้าขาวจะปราศจากเครื่องย้อม จึงทำให้มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงถึง 40 ดีกรี และเนื่องจากน้ำตาลอ้อยที่มีความหวาน หอม และมีคุณภาพมากกว่ากากน้ำตาลชนิดอื่น เหล้าขาวจึงได้รับความนิยมมากที่สุด 

 

รวม 10 แบรนด์สุราไทย รสชาติโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

 

รวม 10 แบรนด์สุราไทย รสชาติโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

หลังจากที่เราพอจะได้เห็นถึงศักยภาพในการเพาะปลูกเพื่อนำมาสู่การผลิตสุราไทย เรามาดูกันว่า 10 แบรนด์ เหล้าไทยที่น่าสนใจ ที่มีความโดดเด่น และเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ มีแบรนด์อะไรบ้าง ดังนี้ 

 

สุราไทย NAPA – สุพรรณบุรี

 

H3: 1. NAPA – สุพรรณบุรี

NAPA แบรนด์สุราไทย จากชุมชนในอำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ที่ได้นำเอาวัตถุดิบอย่างเมลอนมากลั่นเป็นสุรา 35 ดีกรี โดยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากรสชาติที่ไม่มีการแต่งกลิ่นเพิ่มเติม มีความหอม หวาน ละมุน ของเมลอนสายพันธุ์คาโอริ ที่ได้จากการเพาะปลูกในโรงเรือนระบบปิดปลอดสารพิษ และควบคุมภายใต้กระบวนการเพาะปลูกที่มีคุณภาพ ซึ่งการนำเมลอนมากลั่นเป็นสุราไทยนั้นเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำหรับการเพิ่มมูลค่าของผลผลิตให้ดีมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มและกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนได้เป็นอย่างดี 

H3: 2. Koon – ขอนแก่น

แบรนด์สุราไทยจากจังหวัดขอนแก่น Koon เป็นเหล้าพื้นบ้านไทยที่ใช้วัตถุดิบผลผลิตชุมชนอย่างข้าวเหนียวอินทรีย์ นำมากลั่นโดยใช้น้ำจากแหล่งตาน้ำทางธรรมชาติ มีการใช้ฟืนและถังต้มพื้นบ้าน จึงทำให้กระบวนการผลิตมีความเป็นเอกลักษณ์ ดังนั้นสุราไทย Koon จึงเป็นหนึ่งในสุราพื้นบ้านไทยที่จะเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรท้องถิ่นได้

 

สุราไทย PHAI Craft – เชียงใหม่

 

H3: 3. PHAI Craft – เชียงใหม่

หลายๆ คนอาจคิดว่าเหล้าขาว มีกลิ่นที่ฉุนและดื่มยาก แต่ว่า PHAI Craft เป็นเหล้าไทยที่ผลิตมาเพื่อลบล้างความคิดแบบเดิมๆ โดย PHAI Craft แบรนด์สุราไทยจากจังหวัดเชียงใหม่ ได้นำข้าวหอมมะลิจากเกษตรกรมาใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต พร้อมด้วยกรรมวิธีการกลั่นแบบดั้งเดิมที่ใช้ความร้อนจากฟืน และนำไปบ่มในเวลาที่เหมาะสม 

H3: 4. KAO HOM Chaiyaphum – ชัยภูมิ

แบรนด์สุราไทยอย่าง KAO HOM Chaiyaphum ได้นำข้าวเหนียวออแกร์นิกปลอดสารพิษมาใช้ในการกลั่นและหมักตามภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อให้ได้รสชาติที่มีเอกลักษณ์จากกลิ่นข้าวและมีสีที่ขาวบริสุทธิ์ ซึ่งทำให้รสชาติออกมาดีและยังคงความหอมไว้ได้ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในแบรนด์สุราพื้นบ้านไทยที่ใส่ใจทั้งประสบการณ์การดื่มของผู้บริโภค และใส่ใจผู้ผลิตให้สามารถสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน และช่วยรักษาภูมิปัญญาในการหมักเหล้าไว้ได้จากรุ่นสู่รุ่น 

 

สุราไทย Chalong Bay – ภูเก็ต

 

H3: 5. Chalong Bay – ภูเก็ต 

แบรนด์สุราไทยที่น่าจับตามองอย่าง Chalong Bay เป็นแบรนด์บรั่นดีไทยจากจังหวัดภูเก็ต ที่ส่งออกมากถึง 14 ประเทศทั่วโลก โดยใช้วัตถุดิบอย่างอ้อยสดออร์แกนิก 100% จากเกษตรกรไทยภายในท้องถิ่น นำมาผ่านกรรมวิธีการผลิตสุราแบบฝรั่งเศส จึงทำให้ได้รสชาติที่มีความหวานบริสุทธิ์และไร้การสังเคราะห์ 

H3: 6. Iron Balls – กรุงเทพฯ

บรั่นดีไทย Iron Balls เกิดจากการนำเอาวัตถุดิบท้องถิ่นไทยอย่าง มะพร้าวและสับปะรด ทำให้มีรสชาติที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ จึงทำให้นักดื่มหลายๆ คนสนใจและชื่นชอบในการดื่มบรั่นดีไทยจาก Iron Balls เป็นอย่างยิ่ง 

 

ONSON – สกลนคร

 

H3: 7. ONSON – สกลนคร

สุราไทย ONSON จากสกลนคร แม้จะไม่ได้ใช้วัตถุดิบหลักๆ จากท้องถิ่น แต่ก็สามารถนำเอาผลผลิตในไทยกลั่นออกมาเป็นสุราได้อย่างดีและลงตัว ซึ่งวัตถุดิบที่ใช้คือน้ำตาลช่อดอกมะพร้าวบริสุทธิ์ 100% ที่เป็นผลผลิตมาจากเกษตรกรไทย จึงทำให้ได้เหล้าไทยคุณภาพดี และยังเป็นการช่วยสร้างรายได้ให้เกษตรกรได้อีกด้วย 

H3: 8. Saku – นครราชสีมา

SAKU เหล้าไทยจากจังหวัดนครราชสีมา เป็นหนึ่งในบรั่นดีไทยที่น่าจับตามอง โดยได้รับอนุญาตเมื่อเดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2565 ซึ่งสูตรเหล้าเรียกได้ว่าเป็นมรดกตกทอดมาจากยายทวด ส่งต่อมารุ่นต่อรุ่น จนทำให้ได้รสชาติของบรั่นดีไทยที่น่าลิ้มลอง วัตถุดิบที่ใช้ในการทำเป็นผลผลิตที่ได้จากชุมชนและท้องถิ่น อย่างข้าวโพดที่นำมาหมักตามกรรมวิธีเฉพาะตัว จึงทำให้ SAKU เป็นสุราไทยที่มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง 

 

Kilo Spirits – กระบี่

 

H3: 9. Kilo Spirits – กระบี่

บรั่นดีไทย แบรนด์ Kilo Spirits จากจังหวัดกระบี่ เป็นการผลิตเหล้าไทยที่ใช้วัตถุดิบไทยอย่างอ้อยสด นำมากลั่น ซึ่ง Kilo Spirits มีเหล้าสองแบบคือจินและวอดก้า ซึ่งเหล้าทั้งสองแบบนี้ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบรนด์ จากการกลั่นที่ทำถึง 3 รอบ จนได้แอลกอฮอล์ 95% ทำให้ถูกใจผู้ดื่มเป็นอย่างมาก

H3: 10. ISSAN RUM – หนองคาย

ISSAN RUM หนึ่งในแบรนด์เหล้าไทยที่น่าจับตามองจากชุมชนท้องถิ่นภาคอีสาน จังหวัดหนองคาย ที่ใช้อ้อยสดเป็นวัตถุดิบหลักเพื่อนำมากลั่นจนกลายเป็นเหล้าที่มีคุณภาพ ซึ่งได้รับการการันตี รางวัลเหรียญเงิน จากเวทีระดับโลกอย่าง IWSC (International Wine and Spirit Competition) ปี 2014 อีกทั้ง ISSAN RUM ยังเป็นหนึ่งในแบรนด์สุราพื้นบ้านไทย ที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถเพิ่มราคาให้ผลผลิตได้ และยังช่วยทำให้เกษตรกรมีงานทำและมีรายได้ที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นจากการเลือกใช้อ้อยของเกษตรกรไทยที่ดูแลตั้งแต่การเริ่มต้นของการเพาะปลูก ไปจนถึงการกลั่นเลยทีเดียว

 

สรุป

“สุราไทย” กำลังเป็นที่จับตามองอย่างยิ่งทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่สามารถผลิตวัตถุดิบจากการเกษตรไทยเพื่อการนำมากลั่นหรือหมักจนเกิดเป็นบรั่นดีไทยรสเลิศ น่าลิ้มลอง ไม่ว่าจะเป็นเหล้าไทยจากอ้อยสด ข้าวเหนียว ข้าวหอมมะลิ ข้าวโพด หรือเมลอน ที่นำมากลั่นด้วยภูมิปัญญาพื้นบ้าน ตลอดจนเทคนิคการกลั่นจากต่างประเทศ อีกทั้งในปัจจุบันคนไทยยังหันมาสนับสนุนสุราพื้นบ้านไทย เพื่อยกระดับเหล้าไทย และเพื่อช่วยเหลือให้เกษตรกรและชุมชนให้สามารถเพิ่มมูลค่าของผลิตได้ ตลอดจนการสนับสนุนจากรัฐและเอกชน จึงช่วยทำให้สุราไทยมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้น และกลายเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ

 

Reference:

  1. ฆฤณ ถนอมกิตติ. สำมะเลเทเมากับเรื่องราวสุราท้องถิ่นไทย และ 7 แบรนด์ที่น่าจับตามอง. capitalread.co. Published on 22 June 2023. Retrieved 19 February 2025.
  2. ไทยรัฐออนไลน์. รู้จัก”สังเวียน”และ”Kilo Spirits”แบรนด์สุราที่ “พิธา” พูดถึงจนเกิดเป็นกระแส. thairath.co.th. Published on 3 June 2023. Retrieved 19 February 2025. 
  3. มติชน. อีสานรัม : จากอ้อยหนองคาย สู่รางวัลใน ตปท. กระแสดีเกินต้าน 2566 หาชิมไม่ได้ล้ว. matichon.co.th. Published on 8 June 2023. Retrieved 19 February 2025 
  4. The Concert. พาส่อง 9 สุราชุมชนไทย คุณภาพก้าวไกลระดับโลก!. theconcert.com. Retrieved 19 February 2025.
  5. Sanook. “สังเวียน” สุราพื้นบ้านไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลก. sanook.com. Published on 15 July 2023. Retrieved 19 February 2025.

องค์กรเพื่อสังคมที่เกี่ยวข้อง

logo-napa

NAPA

NAPA แบรนด์สุรากลั่นชุมชนจากน้ำเมล่อน ผลิตโดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเป็นสุราบรั่นดีขาวเมล่อน 35 ดีกรีที่ใสและไม่มีการแต่งกลิ่น ได้ความหอม นุ่ม ละมุน จากเมล่อนสายพันธุ์คาโอริแท้ 100% เนื่องจากกลุ่มเกษตรกรวิสาหกิจชุมชนเกษตรปลอดสารพิษ

banner-คูน (Koon)
logo-คูน (Koon)

คูน (Koon)

คูน (Koon) เป็นแบรนด์สุราชุมชนผลิตจากข้าวเหนียวอินทรีย์ในจังหวัดขอนแก่น โดยมีจุดเริ่มต้นจากการเห็นว่าข้าวในท้องถิ่นสามารถแปรรูปเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรได้ สร้างเศรษฐกิจให้กับชุมชน จึงได้ทดลองใช้ข้าวอินทรีย์ ใช้ผลไม้และสมุนไพรในท้องถิ่นมาผลิตเป็นสุรา

Logo-PHAI Craft

PHAI Craft

PHAI Craft แบรนด์สุราชุมชนจากจังหวัดเชียงใหม่ เกิดจากความตั้งใจที่จะพัฒนาสุรากลั่นของไทยหรือที่เรียกว่า สุราขาว ให้หลุดออกจากความเชื่อเดิมที่ว่าสุราประเภทนี้ดื่มยากและมีกลิ่นฉุน โดยเราทำการพัฒนาลูกแป้งที่เป็นสูตรเฉพาะ สนับสนุนเกษตรกรไทยโดยการนำข้าวหอมมะลิที่เป็นเอกลักษณ์ของไทยมาใช้

logo-ข้าวหอมชัยภูมิ

ข้าวหอมชัยภูมิ (KAO HOM Chaiyaphum)

ข้าวหอมชัยภูมิ (KAO HOM Chaiyaphum) เป็นแบรนด์สุราชุมชนที่สนับสนุนเกษตรกรไทยจากจังหวัดชัยภูมิ โดยเลือกใช้วัตถุดิบหลัก คือ ข้าวเหนียวปลอดสารพิษที่มีการรับรองเป็นข้าวเหนียวออร์แกนิก และใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการรังสรรค์ผ่านกรรมวิธีการหมักและกลั่นให้ได้รสชาติที่มีเอกลักษณ์ของกลิ่นข้าว และมีสีขาวบริสุทธิ์