เข้าสู่ระบบ

Table of Contents
Recent Post
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จัก ปัญหาทางเท้าที่คนไทยต้องเจอ ทั้งฟุตบาทไม่ทนทาน รถจักรยานยนต์ ร้านค้าบนทางเท้า การออกแบบที่ไม่คิดถึงผู้พิการและผู้สูงอายุ มาสร้างทางเท้าให้ดี เพื่อชีวิตที่ดีกัน!

ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข
ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักปัญหาว่างงานในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจส่งผลกระทบในวงกว้าง ควรมีทางออกเพื่อเสริมพลังและสร้างโอกาสใหม่ให้คนไทยกลับมายืนหยัดและมีชีวิตที่ดีได้อย่างเข้มแข็ง

Key Takeaway นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คือโครงการจากรัฐบาลที่กำหนดให้ประชาชนเดินทางในเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการได้ในราคาเดียวเพียง 20 บาทตลอดสาย เป้าหมายของโครงการคือสร้างความเท่าเทียม ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสให้คนเมืองทุกกลุ่มเข้าถึงการเดินทางอย่างสะดวก ลดปัญหารถติดและมลพิษ ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาชุมชนเมือง โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของรัฐบาล กรุงเทพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการผลักดันจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่มีวิสัยทัศน์ด้านระบบขนส่งมวลชน เชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้าในราคาคงที่ ช่วยให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ความท้าทายของนโยบายนี้ คือความยั่งยืนทางการเงิน ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลชดเชยผู้ประกอบการ และปัญหาการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า ทุกวันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าทีก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เพราะค่าโดยสารที่สะสมไปแต่ละวันไม่ใช่น้อยๆ เลย แต่ลองคิดดูว่า… ถ้าเราเดินทางไกลแค่ไหนก็จ่ายเพียง 20 บาท จะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากขนาดไหน? ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ! บทความนี้พามาเจาะลึกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน เรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งพนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือแม่ค้าพ่อค้า ที่ต้องใช้รถไฟฟ้าเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางทุกวันแน่นอน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คืออะไร? โครงการค่าโดยสาร 20 บาท คือความตั้งใจง่ายๆ ที่อยากให้การเดินทางสาธารณะเป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน พนักงาน หรือผู้สูงอายุ เรื่องนี้เริ่มต้นจากคำถามว่า “ทำไมคนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงหลายระดับ บางทีแค่ไปทำงานหรือไปเรียนใกล้ๆ ก็ต้องจ่ายราคาเต็ม?” แนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวจึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยลดภาระและทำให้ทุกคนได้รับสิทธิ์เดินทางในราคาเท่ากัน ในปี 2567 ได้เริ่มทำโครงการนำร่องในสายสีแดงและสายสีม่วงแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากเลย ส่วนเรื่องการหาเงินมาจ่ายนั้น รัฐบาลไม่ได้แค่รับภาระทั้งหมดเอง แต่มีการแบ่งงบและจัดสรรเงินมาใช้ชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ให้บริการยังสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ขาดทุน กลไกนี้ช่วยให้ความมั่นคงในการเดินรถยังดำเนินไปได้ โดยรัฐจะพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการจริงและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนเป็นธรรมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจว่าจะทำให้คมนาคมสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเดินทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวที่คนทุกวัยทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ทำไมนโยบายนี้ถึงสำคัญกับคนเมือง? ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทุกวัน การเดินทางในเมืองใหญ่จึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน การมีนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองและหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาได้จริง ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายวันได้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนและคนที่ต้องเดินทางประจำ การกำหนดราคาเดียวช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทางไกล เพิ่มโอกาสในการเดินทางและใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายยังช่วยกระตุ้นให้เกิดชุมชนและธุรกิจใหม่ในเขตชานเมือง เพิ่มความสะดวกและคุณภาพชีวิตในเมืองอย่างยั่งยืน ลดปัญหารถติดและมลพิษ นโยบายนี้ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เมื่อประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ปริมาณรถติดก็ลดลงตามไปด้วย ช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การใช้รถไฟฟ้ายังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ที่สำคัญคือทำให้เมืองน่าอยู่ สะอาด และเดินทางได้คล่องตัวมากขึ้นสำหรับทุกคน สร้างเมืองที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน นโยบายนี้ไม่ได้แค่ทำให้ค่าโดยสารถูกลงเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย นักเรียน หรือผู้สูงอายุ ช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมและเป็นธรรม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทาง และทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นคนทุกกลุ่ม เป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของคนในเมืองใหญ่ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน พร้อมส่งเสริมให้คนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น สร้างความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว ความเท่าเทียมในการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเดินทาง เพราะไม่ว่าคนจะขึ้นรถไฟฟ้ากี่สายหรือต้องเดินทางไกลเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็จ่ายค่าโดยสารราคาเดียว ทำให้ทุกคนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือรัฐบาลช่วยชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ เพื่อรักษาคุณภาพบริการและทำให้นโยบายนี้ดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ นโยบายนี้ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพราะราคาค่าโดยสารที่ถูกลงทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่าย ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลยังร่วมมือกับกรุงเทพฯ ในการพัฒนาระบบตั๋วร่วมและฟีดเดอร์ระบบขนส่ง เช่น รถเมล์ที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการใช้งานระบบได้ครบวงจรขึ้น แก้ปัญหารถติด นโยบายนี้เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้ เมื่อค่าโดยสารถูกลง ผู้คนจะหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่วิ่งบนถนนในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร ยังช่วยลดเวลาการเดินทางและความเครียดของผู้ใช้ถนนด้วย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบขนส่งของเมือง ทำให้การเดินทางสะดวกและราบรื่นขึ้นโดยรวมในระยะยาว เชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมือง นโยบายนี้เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจและชุมชนเมืองเติบโตเป็นระบบ การลดค่าเดินทางช่วยเพิ่มกำลังซื้อและโอกาสทางธุรกิจในชุมชนต่างๆ เนื่องจากผู้คนสามารถเดินทางเข้า - ออกเมืองได้สะดวกและบ่อยขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าหลายสายยังช่วยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้ารวดเร็ว ทำให้ชุมชนต่างๆ มีโอกาสพัฒนาไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เบื้องหลังการผลักดันนโยบาย โครงการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพฯ พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่วางแนวนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ในขณะที่กรุงเทพฯ นำโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผลักดันให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น นโยบายรถไฟฟ้ากับชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นหัวใจของชีวิตคนเมือง ร่วมกับการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและมลพิษ พร้อมผลักดันให้โครงการได้ผลจริงในเชิงปฏิบัติ เช่น การเชื่อมโยงเส้นทางและเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคสังคมมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามผล ทำให้นโยบายนี้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองจริงๆ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท… ความท้าทายและคำถามที่ยังคงอยู่ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แม้จะได้รับการตอบรับอย่างดีและช่วยลดภาระค่าโดยสารของประชาชน แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนทางการเงินหลักๆ เพราะรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ แต่จากการศึกษาพบว่า… ต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายหลักอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อเที่ยว ทำให้นโยบายนี้เป็นไปได้ถ้าบริหารจัดการดีและมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่มั่นคง เช่น การใช้รายได้ภาษีจากภาคขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า โดยเฉพาะสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้และผลประโยชน์ของภาคเอกชน ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนและการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล ปัญหานี้ยังเป็นอุปสรรคที่ต้องเจรจาและหาข้อตกลงร่วมที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทางเลือกและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนานโยบายในอนาคต ได้แก่ การผลักดันกฎหมายตั๋วร่วมเพื่อให้ใช้บริการได้ด้วยบัตรเดียวทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทให้เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความมั่นคงและเข้าถึงได้ง่ายในระยะยาว สรุป นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคนเมือง ทำให้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ช่วยเชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมแก้ไขปัญหารถติดและมลพิษ เพิ่มคุณภาพชีวิตคนเมืองอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกรุงเทพฯ และภาคประชาสังคม ซึ่งบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมและติดตามนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง FAQ – คำถามที่พบบ่อย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทครอบคลุมทุกสายไหม? โครงการนี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) สายสีน้ำเงิน (MRT) สายสีเหลือง สายสีชมพู และ Airport Rail Link (ARL) รวมรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงที่ทำไปแล้วทั้งหมด 8 สาย รวม 13 เส้นทางและกว่า 194 สถานีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางในราคาคงที่เพียง 20 บาทตลอดสาย แม้ต้องเปลี่ยนสายก็จะไม่เกินราคานี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งผลต่อปัญหารถติดในกรุงเทพฯ อย่างไร? นโยบายนี้ช่วยลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เพราะราคาค่าโดยสารถูกลง คุณภาพชีวิตและการเดินทางจึงดีขึ้น ลดความหนาแน่นของการจราจรในช่วงเร่งด่วนได้ ประชาชนมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายนี้ได้อย่างไร? ประชาชนสามารถร่วมลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ และใช้บัตร EMV Contactless หรือบัตร Rabbit แบบ ABT เพื่อยืนยันตัวตน ร่วมกันใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการของระบบขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้นต่อไป
อนาคตเข้าถึงได้! นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท โครงการเปลี่ยนชีวิตคนเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามาเจาะลึกกับนโยบายรถไฟฟ้า20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน

ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน
ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักจากเสียงประชาชนสู่การแก้ไขจริง! Traffy Fondue คือระบบร้องเรียนของ กทม. นำเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวกรุงให้ดีขึ้น

ชวนรู้จัก LGBTQIA+ ค้นหาความหมาย ภายใต้ความหลากหลายทางเพศ

CHEEWID ชวนทุกคนมาทำความรู้จักความหมายของ LGBTQIA+ ที่ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ โดยแต่ละตัวว่าคืออะไร หาคำตอบกันได้ในบทความนี้!
ชวนรู้จัก LGBTQIA+ ค้นหาความหมาย ภายใต้ความหลากหลายทางเพศ
Table of Contents

 

Key Takeaway

  • ทางชีววิทยาแบ่งเพศออกเป็นชาย และหญิง ตามลักษณะทางกายภาพ แต่อัตลักษณ์ทางเพศมีความซับซ้อน และมีหลากหลายมากกว่านั้น คำว่า LGBTQIA+ จึงถูกนำมาใช้เพื่อเป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ
  • L หมายถึงผู้หญิงที่มีความสนใจต่อเพศเดียวกัน G หมายถึงผู้ชายที่มีความสนใจต่อเพศเดียวกัน B คนที่มีความสนใจต่อเพศชายและเพศหญิง T คนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศไม่ตรงกับเพศที่ถูกกำหนดตอนแรกเกิด Q คนที่ไม่ได้ถือว่าตัวเองเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือคนที่รักคนต่างเพศ 
  • I คือบุคคลมีลักษณะทางเพศของทั้งชาย และหญิงในร่างเดียวกัน A คนที่ไม่มีความต้องการ หรือแรงดึงดูดทางเพศ และ + ที่สื่อถึงความเป็นไปได้อันหลากหลาย และไม่มีที่สิ้นสุดของอัตลักษณ์ทางเพศ
  • ความเท่าเทียมทางเพศ เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ตามปฏิญญาสากล ที่ระบุว่า “ทุกคนมีสิทธิ และเสรีภาพ โดยปราศจากการแบ่งแยกใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ สีผิว เพศ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง พื้นเพทางสังคม ทรัพย์สิน ถิ่นกำเนิด หรือสถานะอื่นใด”

 

วิวัฒนาการของมนุษย์หลายต่อหลายรุ่น มีกลุ่มหลากหลายทางเพศมานานจนจำไม่ได้ เพียงแต่สมัยนั้นยังไม่เปิดกว้างเท่าในปัจจุบัน ความหลากหลายทางเพศไม่ใช่โรคติดต่อ ไม่ใช่ไลฟ์สไตล์ยอดฮิตที่เพิ่งจะมีกันตอนนี้ แต่เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ ที่ปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์มานานมากแล้ว 

ชวนมารู้จักความหมายของ LGBTQIA+ แต่ละตัวอักษรว่าคืออะไรได้ในบทความนี้! พร้อมทั้งความหมายของเพศวิถีอื่นๆ ที่ไม่ได้ปรากฎในตัวอักษรเหล่านี้ รวมถึงความเกี่ยวเนื่องระหว่างความหลากหลายทางเพศ และสิทธิมนุษยชน พร้อมทำความเข้าในกฎหมายสมรสเท่าเทียมในไทย ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้กันในเร็วๆ นี้ด้วย

 

LGBTQIA+ คืออะไร?

LGBTQIA+ คืออะไร?

แม้ว่าทางชีววิทยาจะแบ่งเพศออกเป็นชายและหญิง ตามลักษณะทางกายภาพ แต่อัตลักษณ์ทางเพศของมนุษย์นั้นมีความซับซ้อนและหลากหลายมากกว่านั้น คำว่า LGBTQIA+ ได้ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือเพศทางเลือกเหล่านี้

ในอดีต สังคมมักมองกลุ่มคนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศที่ต่างไปจากบรรทัดฐาน ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร พวกเขามักถูกตีตราว่าเป็น ‘ตัวประหลาด’ และถูกกีดกันจากสังคม ในกรณีที่รุนแรง บางคนถึงขั้นถูกทำร้ายร่างกายเลยก็มี ความสัมพันธ์จึงเป็นไปอย่าง ‘ลับๆ’ 

ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ความลื่นไหลทางเพศมีมานานแล้ว อย่างเช่น ในช่วงยุค 1394 อีลีนอร์ ไรเคนอร์ ถูกจับกุมตัว หลังถูกจับได้ว่ากำลังมีความสัมพันธ์กับผู้ชาย และบางครั้งก็มีความสัมพันธ์กับผู้หญิง หรือจะในช่วง 1950 ผู้ชายชนชั้นแรงงานในยอร์กเชียร์ที่ได้แอบมีสัมพันธ์ลับๆ กับผู้ชายด้วยกันโดยไม่ให้คนในครอบครัวรู้ และในช่วง 1954 ที่มีนิตยสารที่ชื่อว่า ฟิล์มแอนด์ฟิล์มมิ่ง (Film & Filming) นำมาวางขาย โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย เป็นต้น

 

ทำไมสัญลักษณ์ LGBTQIA+ ต้องเป็นสีรุ้ง?

ทำไมสัญลักษณ์ LGBTQIA+ ต้องเป็นสีรุ้ง?

‘ธงสีรุ้ง’ ได้กลายเป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังของกลุ่ม LGBTQIA+ ทั่วโลก โดยสะท้อนถึงความหลากหลาย และความเป็นหนึ่งเดียวของกลุ่มคนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศที่แตกต่างกัน เช่นเดียวกับที่สีรุ้งได้รวมสีสันต่างๆ เข้าด้วยกันให้เป็นหนึ่งเดียว 

จุดกำเนิดของธงสีรุ้งมาจากการสร้างสรรค์ของ Gilbert Baker ศิลปินชาวอเมริกัน และนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของชุมชนเกย์ในปี 1978 ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธงชาติสหรัฐอเมริกาในโอกาสครบรอบ 200 ปีของประเทศ เมื่อปี 1976 ในแรกเริ่มธงจะประกอบไปด้วย 8 สี แต่ละสีมีความหมายเฉพาะ ดังนี้

  1. สีชมพูเข้ม: สื่อถึงเรื่องเพศ
  2. สีแดง: สื่อถึงตัวแทนของชีวิต
  3. สีส้ม: สื่อถึงการเยียวยา
  4. สีเหลือง: สื่อถึงแสงอาทิตย์ที่ส่องสว่าง
  5. สีเขียว: สื่อถึงตัวแทนของธรรมชาติ
  6. สีฟ้าเทอร์ควอยซ์: สื่อถึงเวทมนตร์ หรือศิลปะ
  7. สีน้ำเงินม่วง: สื่อถึงความสามัคคี
  8. สีม่วง: สื่อถึงจิตวิญญาณอันแน่วแน่

 

อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดในการผลิต ธงได้ถูกปรับให้เหลือเพียง 6 สี โดยตัดสีชมพูเข้ม และสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ออก เพราะเป็นสีที่ผลิตได้ยากในสมัยนั้น แม้จะมีการลดจำนวนสีลง แต่ความหมาย และพลังของธงยังคงอยู่ ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลาย ความหวัง และความภาคภูมิใจของชาว LGBTQIA+ เสมอ

ปัจจุบัน ธงสีรุ้งได้กลายเป็นสัญลักษณ์ที่รู้จักกันทั่วโลก ปรากฏในงาน Pride การเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ และในชีวิตประจำวันของผู้คนมากมาย เป็นเครื่องหมายของการยอมรับ ความเท่าเทียม และการเฉลิมฉลองความหลากหลายของมนุษยชาติ ธงสีรุ้งไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม LGBTQIA+ เท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของสังคมที่เปิดกว้าง และยอมรับความแตกต่างของทุกคนอีกด้วย

 

รู้จักความหมาย LGBTQIA+ แต่ละตัว

รู้จักความหมาย LGBTQIA+ แต่ละตัว

หลายๆ คนอาจสงสัยว่าตัวอักษร LGBTQIA+ แต่ละตัวหมายถึงอะไร มาทำความรู้จัก LGBTQIA+ แต่ละตัว เพื่อให้เข้าใจความหมายในเพศทางเลือกอย่างลึกซึ้งมากขึ้น

 

L — Lesbian

คำว่า ‘เลสเบี้ยน’ มีที่มาจากชื่อเกาะ ‘เลสบอส’ (Lesbos) ในประเทศกรีซ เกาะนี้เป็นบ้านเกิดของแซปโฟ (Sappho) กวีหญิงชาวกรีกโบราณ ผู้มีชื่อเสียงจากบทกวีที่แสดงถึงความรัก และความปรารถนาระหว่างผู้หญิง เนื่องจากอิทธิพลของแซปโฟ คำว่าเลสเบี้ยน จึงถูกนำมาใช้เพื่อหมายถึงผู้หญิงที่มีความสนใจทางเพศต่อเพศเดียวกัน โดยการใช้คำนี้ในความหมายดังกล่าวได้เริ่มแพร่หลายตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา

 

G — Gay

คำว่า ‘เกย์’ ในภาษาอังกฤษเดิม หมายถึงความสนุกสนาน หรือความรื่นเริง แต่ความหมายได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ในช่วงต้นถึงกลางศตวรรษที่ 20 คำว่าเกย์ เริ่มถูกใช้เพื่อหมายถึงผู้ชายที่มีความสนใจทางเพศต่อเพศเดียวกัน ต่อมาผู้หญิงที่มีความสนใจในเพศเดียวกันก็เริ่มใช้คำว่าเกย์เพื่อบ่งบอกตัวตนของตัวเองด้วย ทำให้คำนี้มีความหมายกว้างมากขึ้น

ปัจจุบัน เกย์ กลายเป็นคำที่มีความหมายครอบคลุม (Umbrella Term) สำหรับคนที่มีความสนใจทางเพศต่อเพศเดียวกัน แม้ว่าในบางบริบท คำนี้อาจยังคงถูกใช้เฉพาะสำหรับผู้ชายที่มีความสนใจในเพศเดียวกัน ขณะที่ผู้หญิงที่มีความสนใจในเพศเดียวกันมักจะใช้คำว่าเลสเบี้ยนมากกว่า

 

B — Bisexual

คำว่า ‘ไบ’ (Bi) มาจากภาษาละติน และกรีก แปลว่า ‘สอง’ ในช่วงศตวรรษที่ 19 นักวิทยาศาสตร์ และแพทย์ใช้คำว่า ไบ เพื่ออธิบายถึงคนที่มีลักษณะทางกายภาพของทั้งเพศชายและเพศหญิง ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า ‘อินเตอร์เซ็กส์’ (Intersex) ต่อมา ความหมายขยายไปถึงคนที่แสดงออกถึงความเป็นชาย (Masculine) และความเป็นหญิง (Feminine) ในคนเดียวกัน โดยไม่เกี่ยวข้องกับลักษณะทางกายภาพ

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 สังคมเริ่มเปิดกว้างขึ้น คำว่า ‘ไบเซ็กชวล’ (Bisexual) เริ่มถูกใช้เพื่ออธิบายถึงคนที่มีความสนใจทางเพศ หรือความรู้สึกโรแมนติก ต่อทั้งเพศชาย และเพศหญิงนั่นเอง

 

T — Transgender

คำว่า ‘Transgender’ ปรากฏครั้งแรกในวงการวิชาการในทศวรรษ 1960 โดยถูกใช้ในหนังสือชื่อ ‘Sexual Hygiene and Pathology’ เพื่ออธิบายถึงคนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศต่างจากเพศกำเนิด ปัจจุบัน Transgender เป็นคำที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในการอธิบายถึงคนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศไม่ตรงกับเพศที่ถูกกำหนด ณ แรกเกิด โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการผ่าตัดแปลงเพศ หรือรักษาทางการแพทย์ใดๆ

 

Q — Queer

ในภาษาอังกฤษ คำว่า ‘Queer’ แปลว่า ‘แปลกประหลาด’ หรือ ‘ผิดปกติ’ จึงถูกใช้เป็นคำดูถูกเหยียดหยามผู้ที่มีอัตลักษณ์ทางเพศไม่เป็นไปตามบรรทัดฐานของสังคม โดยเฉพาะในสังคมที่ยึดถือระบบเพศแบบทวิลักษณ์ (ชาย-หญิง) มาเป็นเวลานาน

อย่างไรก็ตาม ในช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 20 เมื่อการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของผู้มีความหลากหลายทางเพศเริ่มมีพลังมากขึ้น กลุ่ม LGBTQIA+ ได้ ‘ยึดคืน’ (Reclaim) คำว่าเควียร์ (Queer) แล้วเปลี่ยนสถานะจากคำดูถูกที่สร้างความเจ็บปวด ให้กลายเป็นคำที่ใช้ระบุอัตลักษณ์อย่างภาคภูมิใจ โดยแปลอีกอย่างว่า คือบุคคลลื่นไหลทางเพศ หรือผู้ที่ไม่ได้ถือตัวเองว่าเป็นผู้ชาย ผู้หญิง หรือผู้ที่รักคนต่างเพศนั่นเอง

 

I — Intersex

คำว่า ‘Intersex’ มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16-17 แต่ความหมายเดิมนั้นต่างจากปัจจุบันมาก โดยความหมายแต่เดิม หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างเพศ ต่อมาในปี 1917 ริชาร์ด โกลด์ชมิดต์ (Richard Goldschmidt) นักพันธุศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ให้ความหมายใหม่ว่า เป็นภาวะที่บุคคลมีลักษณะทางเพศของทั้งชาย และหญิงในร่างเดียวกัน เช่น มีอวัยวะสืบพันธุ์ที่ไม่ตรงกับเพศใดเพศหนึ่งโดยเฉพาะ และนิยามนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานสำหรับการเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่มบุคคลที่มีภาวะดังกล่าวในเวลาต่อมาด้วย

 

A — Asexual

คำว่า ‘Asexual’ ถูกนิยามโดย แมกนัส เฮิร์ชเฟลด์ (Magnus Hirschfeld) นักเพศศาสตร์ชาวเยอรมัน ในช่วงปลายทศวรรษ 1890 เพื่ออธิบายถึงบุคคลที่ไม่มีความต้องการ หรือแรงดึงดูดทางเพศ ตั้งแต่นั้นมา Asexual ได้กลายเป็นศัพท์ที่ใช้กันทั่วไป ทั้งในวงการแพทย์ และสังคม โดยหมายถึงคนที่อาจรู้สึกถึงความรักในเชิงอารมณ์ แต่ไม่มีแรงดึงดูดทางเพศ หรือไม่ต้องการมีเพศสัมพันธ์กับใครหรือเพศใดก็ตาม

ในปัจจุบัน Asexual เป็นที่ยอมรับว่า เป็นอัตลักษณ์ทางเพศรูปแบบหนึ่งในสเปกตรัมความหลากหลายทางเพศ สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจที่กว้างขึ้น เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศของมนุษย์นั่นเอง

 

+ — Plus

การเคลื่อนไหวด้านสิทธิ และความเท่าเทียมทางเพศในปัจจุบัน ได้สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ส่งผลให้ผู้คนหันมาสำรวจ และเข้าใจอัตลักษณ์ทางเพศของตัวเองมากขึ้น ทำให้เกิดการนิยามอัตลักษณ์ทางเพศใหม่ๆ ที่นอกเหนือจาก LGBTQIA อยู่เสมอ 

เครื่องหมาย ‘+’ ที่ต่อท้ายตัวย่อเหล่านี้ จึงถูกใช้เพื่อสื่อถึงความเป็นไปได้อันหลากหลาย และไม่มีที่สิ้นสุดของอัตลักษณ์ทางเพศที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตนั่นเอง

รู้จักเพศวิถีอื่น นอกเหนือจาก LGBTQIA+

รู้จักเพศวิถีอื่น นอกเหนือจาก LGBTQIA+

ต่อมา มารู้จักเพศวิถีรูปแบบอื่นๆ ที่นอกเหนือจาก LGBTQIA+ เพื่อทำความเข้าใจในความหลากหลายของเพศทางเลือกที่แท้จริง ดังนี้

 

Non – Binary

Non-Binary คือกลุ่มคนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศนอกเหนือจากการแบ่งเพศแบบทวิลักษณ์ (Binary) ที่จำกัดเพียงชายและหญิง Non-Binary จะไม่จำกัดตัวเองว่าเป็นเพศชาย หรือเพศหญิงโดยเฉพาะ อาจรู้สึกว่าตัวเองมีลักษณะของทั้งสองเพศหรือไม่มีเพศใดเลย และมองว่าเพศเป็นสเปกตรัมที่มีความหลากหลายมากกว่าแค่สองขั้ว (ชาย-หญิง)

โดยแนวคิดนี้ เป็นการท้าทายระบบเพศแบบดั้งเดิม ที่เชื่อว่ามีเพียงสองเพศ และเรียกร้องการยอมรับในความหลากหลายของอัตลักษณ์ทางเพศที่อยู่นอกกรอบแบบเดิมด้วย 

 

Pansexual

คำว่า ‘Pan’ มาจากภาษากรีก แปลว่า ‘ทั้งหมด’ สะท้อนถึงการเปิดกว้างต่อทุกเพศสภาพ Pansexual จึงเป็นอัตลักษณ์ทางเพศ ที่หมายถึงบุคคลที่มีความสนใจทางเพศ หรือมีความรู้สึกโรแมนติกต่อผู้อื่น โดยไม่คำนึงถึงเพศสภาพ สามารถรู้สึกดึงดูดต่อคนจากทุกอัตลักษณ์ทางเพศ ไม่ว่าจะชาย หญิง นอนไบนารี และเพศสภาพอื่นๆ Pansexual มองว่าบุคลิกภาพ และคุณสมบัติของคนๆ หนึ่ง สำคัญกว่าเพศสภาพ Pansexual จึงเป็นอัตลักษณ์ที่แสดงถึงความเปิดกว้าง และการยอมรับความหลากหลายทางเพศอย่างไม่มีขีดจำกัดนั่นเอง

 

Two-spirit

คำว่า ‘Two-spirit’ มีรากฐานมาจากของชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกัน ที่ไว้ใช้ยกย่องผู้ที่มีบทบาทพิเศษในสังคม เช่น เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ หรือผู้ประกอบพิธีกรรมสำคัญ

ปัจจุบัน Two-spirit หมายถึง บุคคลที่มีทั้งลักษณะความเป็นชายและหญิงในคนเดียวกัน ทั้งด้านจิตวิญญาณ และการแสดงออก โดยเป็นแนวคิดที่แสดงถึงการยอมรับความหลากหลายทางเพศในวัฒนธรรมดั้งเดิมของชนพื้นเมือง เป็นอัตลักษณ์ทางเพศ และบทบาททางสังคม ที่มีความสำคัญในวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองอเมริกันหลายเผ่าในอดีตเลยทีเดียว 

 

Questioning

Questioning เป็นผู้ที่ยังไม่แน่ใจ หรือกำลังค้นหาความเข้าใจเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศ หรือเพศสภาพของตัวเอง อยู่ในกระบวนการตั้งคำถาม และสำรวจความรู้สึก ความต้องการ และการแสดงออกทางเพศของตัวเอง เป็นช่วงเวลาของการเปิดใจยอมรับความเป็นไปได้ต่างๆ เกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศ และการยอมรับว่าอัตลักษณ์ทางเพศอาจเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาได้ในอนาคต

Questioning เป็นส่วนสำคัญของการค้นพบตัวตน และเป็นกระบวนการที่ควรได้รับการเคารพ และสนับสนุน โดยไม่เร่งรัดให้ต้องนิยามตัวเองอย่างชัดเจน หรือถาวร

 

LGBTQIA+ กับสิทธิมนุษยชน

‘ความเท่าเทียมทางเพศ’ เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ตามปฏิญญาสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ข้อ 2 ที่ระบุว่า “ทุกคนมีสิทธิ และเสรีภาพ โดยปราศจากการแบ่งแยกใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติ สีผิว เพศ ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง พื้นเพทางสังคม ทรัพย์สิน ถิ่นกำเนิด หรือสถานะอื่นใด”

ในอดีต กลุ่มคนหลากหลายทางเพศ มักถูกบังคับให้ปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมดั้งเดิม เช่น การถูกให้แต่งงานกับเพศตรงข้าม เพื่อสืบทอดวงศ์ตระกูล หรือรักษาเกียรติของครอบครัว ซึ่งการกระทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรงต่อผู้ที่ตกเป็นเหยื่ออีกด้วย

อย่างไรก็ตาม สังคมในปัจจุบัน ได้เริ่มเปิดกว้าง และยอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจที่มากขึ้นต่อความซับซ้อนของอัตลักษณ์ทางเพศของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศรู้สึกได้รับการยอมรับมากขึ้น แต่ยังช่วยสร้างสังคมที่เปิดกว้าง และเท่าเทียมสำหรับทุกคนอีกด้วย

 

พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ความสำเร็จครั้งใหญ่ของชาว LGBTQIA+

พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ความสำเร็จครั้งใหญ่ของชาว LGBTQIA+

พ.ร.บ. คู่ชีวิต นิยามคู่รัก LGBTQIA+ เป็น ‘คู่ชีวิต’ โดยให้สิทธิ และสวัสดิการแค่บางประการเท่านั้น ไม่ครอบคลุมทั้งหมด แต่ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม นิยามคู่รัก LGBTQIA+ เป็น ‘คู่สมรส’ ให้สิทธิ และสวัสดิการเท่าเทียมกับคู่สมรสทั่วไป โดยยึดหลักความเสมอภาค ไม่มีการแบ่งแยกใดๆ ซึ่งครอบคลุมเรื่องต่างๆ ดังนี้

  • กรณีการหมั้น ต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ (มาตรา 1435)
  • กรณีการสมรส ต้องมีอายุ 18 ปีบริบูรณ์ ยกเว้นกรณีพิเศษที่ศาลอนุญาต (มาตรา 1448)
  • กรณีการจดทะเบียนสมรส ต้องแสดงความยินยอมต่อหน้านายทะเบียน (มาตรา 1458)
  • กรณีการหย่า ต้องจดทะเบียนหย่าเพื่อให้มีผลสมบูรณ์ (มาตรา 1515)
  • การจัดการทรัพย์สิน และหนี้สินร่วมกัน
  • สิทธิรับสวัสดิการจากรัฐในฐานะคู่สมรส
  • การให้ความยินยอมในการรักษาพยาบาล
  • การเป็นผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์ (มาตรา 1463)
  • การอุปการะเลี้ยงดูคู่สมรส (มาตรา 1598/38)
  • การรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน

 

เมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ (ฉบับที่ 24) พ.ศ. 2567 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีผลบังคับใช้ในอีก 120 วันข้างหน้า หรือในวันที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2568 นั่นเอง

เพราะความคิดนั้นเปลี่ยนยาก การเกิดขึ้นของ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมจึงถือเป็นการสร้างปรากฏการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากให้กับประเทศไทย เพราะขนบธรรมเนียมแบบไทยๆ ที่ขึ้นชื่อว่ายึดแต่แนวคิดเดิมๆ การที่ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมถูกยอมรับในเชิงกฎหมายจึงถือเป็นความหวังให้กับชาว LGBTQIA+ หลายๆ คน ว่าประเทศไทยกำลังจะก้าวสู่อีกระดับนั่นเอง

 

สรุป

แม้ว่าในปัจจุบัน จะมีการยอมรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น แต่เราก็ยังมีภารกิจอีกมากมาย ที่ต้องทำเพื่อสร้างสังคม ให้สังคมปราศจากการเลือกปฏิบัติ หรืออคติใดๆ ต่อกลุ่ม ชาว LGBTQIA+ โดยการให้ความรู้ และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศ เพื่อให้เราทุกคนมีแนวคิด และเคารพในความแตกต่างของคนอื่น เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี และเท่าเทียมนั่นเอง

Cheewid ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกลุ่มหลากหลายทางเพศ ที่เป็นช่องทางให้ทุกๆ คนได้ร่วมบริจาค เพื่อเป็นแรงสนับสนุนในการเรียกร้องสิทธิของชาว LGBTQIA+ เพื่อที่จะสร้างโลกแห่งความหลากหลาย ที่ผู้คนไม่มีอคติต่อกันและกัน 

 

Reference:

  1. Amnesty. ทำไมสัญลักษณ์ LGBTQ จึงเป็นสีรุ้ง. amnesty.or.th. Published 23 June 2021. Retrieved 30 September 2024.
  2. อธิเจต มงคลโสฬศ. LGBT+ โลกนี้มีความหลากหลายมากกว่าชาย-หญิง. thaipbs.or.th. Published 31 May 2024. Retrieved 30 September 2024.
  3. BBCNEWS. LGBT: เรื่องราวในอดีตของความหลากหลายทางเพศที่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้. bbc.com. Published 4 June 2021. Retrieved 30 September 2024.
  4. CENTRALinspirer. ทำความรู้จักเทศกาล Pride Month ทำไมต้องสีรุ้ง?. central.co.th. Published 12 June 2024. Retrieved 30 September 2024.
  5. THEMOMENTUM. The ABCs of LGBTQIA+ ค้นหาความหมายภายใต้ ‘ความหลากหลาย’ ทางเพศ. themomentum.co. Published 11 June 2022. Retrieved 30 September 2024.
  6. กรุงเทพธุรกิจ. เปิดตัวย่อ “LGBTQIA+” คืออะไร มาจากไหน . central.co.th. Published 5 June 2022. Retrieved 30 September 2024.
  7. ไทยรัฐ. “สมรสเท่าเทียม” คืออะไร ประโยชน์ที่ LGBTQIA+ จะได้รับมีอะไรบ้าง?. thairath.co.th. Published 16 June 2022. Retrieved 30 September 2024.

องค์กรเพื่อสังคมที่เกี่ยวข้อง

banner - กสศ
logo - กสศ

กสศ. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

เราสนับสนุนช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา เสริมสร้าง พัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู
logo - มูลนิธิไทยรัฐ

มูลนิธิไทยรัฐ

เราเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการศึกษา และช่วยเหลือกิจกรรมเกี่ยวกับการศึกษาแก่นักเรียนที่ยากจนและนักเรียนดีเด่นทั่วไป ส่งเสริมการศึกษา และค้นคว้าวิจัยงานหนังสือพิมพ์ร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์เพื่อเด็กๆ

banner - sos เด็กโสสะ

มูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทยฯ

เราช่วยเหลือเด็กที่สูญเสียบิดามารดา ขาดญาติมิตร ในรูปแบบของครอบครัวทดแทนถาวรระยะยาว เพื่อให้เด็กสามารถประกอบอาชีพและเลี้ยงดูตัวเองได้ไม่เป็นภาระต่อสังคม