เข้าสู่ระบบ

Table of Contents
Recent Post
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จัก ปัญหาทางเท้าที่คนไทยต้องเจอ ทั้งฟุตบาทไม่ทนทาน รถจักรยานยนต์ ร้านค้าบนทางเท้า การออกแบบที่ไม่คิดถึงผู้พิการและผู้สูงอายุ มาสร้างทางเท้าให้ดี เพื่อชีวิตที่ดีกัน!

ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข
ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักปัญหาว่างงานในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจส่งผลกระทบในวงกว้าง ควรมีทางออกเพื่อเสริมพลังและสร้างโอกาสใหม่ให้คนไทยกลับมายืนหยัดและมีชีวิตที่ดีได้อย่างเข้มแข็ง

Key Takeaway นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คือโครงการจากรัฐบาลที่กำหนดให้ประชาชนเดินทางในเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการได้ในราคาเดียวเพียง 20 บาทตลอดสาย เป้าหมายของโครงการคือสร้างความเท่าเทียม ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสให้คนเมืองทุกกลุ่มเข้าถึงการเดินทางอย่างสะดวก ลดปัญหารถติดและมลพิษ ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาชุมชนเมือง โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของรัฐบาล กรุงเทพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการผลักดันจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่มีวิสัยทัศน์ด้านระบบขนส่งมวลชน เชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้าในราคาคงที่ ช่วยให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ความท้าทายของนโยบายนี้ คือความยั่งยืนทางการเงิน ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลชดเชยผู้ประกอบการ และปัญหาการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า ทุกวันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าทีก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เพราะค่าโดยสารที่สะสมไปแต่ละวันไม่ใช่น้อยๆ เลย แต่ลองคิดดูว่า… ถ้าเราเดินทางไกลแค่ไหนก็จ่ายเพียง 20 บาท จะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากขนาดไหน? ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ! บทความนี้พามาเจาะลึกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน เรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งพนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือแม่ค้าพ่อค้า ที่ต้องใช้รถไฟฟ้าเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางทุกวันแน่นอน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คืออะไร? โครงการค่าโดยสาร 20 บาท คือความตั้งใจง่ายๆ ที่อยากให้การเดินทางสาธารณะเป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน พนักงาน หรือผู้สูงอายุ เรื่องนี้เริ่มต้นจากคำถามว่า “ทำไมคนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงหลายระดับ บางทีแค่ไปทำงานหรือไปเรียนใกล้ๆ ก็ต้องจ่ายราคาเต็ม?” แนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวจึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยลดภาระและทำให้ทุกคนได้รับสิทธิ์เดินทางในราคาเท่ากัน ในปี 2567 ได้เริ่มทำโครงการนำร่องในสายสีแดงและสายสีม่วงแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากเลย ส่วนเรื่องการหาเงินมาจ่ายนั้น รัฐบาลไม่ได้แค่รับภาระทั้งหมดเอง แต่มีการแบ่งงบและจัดสรรเงินมาใช้ชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ให้บริการยังสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ขาดทุน กลไกนี้ช่วยให้ความมั่นคงในการเดินรถยังดำเนินไปได้ โดยรัฐจะพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการจริงและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนเป็นธรรมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจว่าจะทำให้คมนาคมสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเดินทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวที่คนทุกวัยทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ทำไมนโยบายนี้ถึงสำคัญกับคนเมือง? ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทุกวัน การเดินทางในเมืองใหญ่จึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน การมีนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองและหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาได้จริง ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายวันได้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนและคนที่ต้องเดินทางประจำ การกำหนดราคาเดียวช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทางไกล เพิ่มโอกาสในการเดินทางและใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายยังช่วยกระตุ้นให้เกิดชุมชนและธุรกิจใหม่ในเขตชานเมือง เพิ่มความสะดวกและคุณภาพชีวิตในเมืองอย่างยั่งยืน ลดปัญหารถติดและมลพิษ นโยบายนี้ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เมื่อประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ปริมาณรถติดก็ลดลงตามไปด้วย ช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การใช้รถไฟฟ้ายังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ที่สำคัญคือทำให้เมืองน่าอยู่ สะอาด และเดินทางได้คล่องตัวมากขึ้นสำหรับทุกคน สร้างเมืองที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน นโยบายนี้ไม่ได้แค่ทำให้ค่าโดยสารถูกลงเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย นักเรียน หรือผู้สูงอายุ ช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมและเป็นธรรม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทาง และทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นคนทุกกลุ่ม เป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของคนในเมืองใหญ่ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน พร้อมส่งเสริมให้คนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น สร้างความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว ความเท่าเทียมในการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเดินทาง เพราะไม่ว่าคนจะขึ้นรถไฟฟ้ากี่สายหรือต้องเดินทางไกลเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็จ่ายค่าโดยสารราคาเดียว ทำให้ทุกคนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือรัฐบาลช่วยชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ เพื่อรักษาคุณภาพบริการและทำให้นโยบายนี้ดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ นโยบายนี้ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพราะราคาค่าโดยสารที่ถูกลงทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่าย ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลยังร่วมมือกับกรุงเทพฯ ในการพัฒนาระบบตั๋วร่วมและฟีดเดอร์ระบบขนส่ง เช่น รถเมล์ที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการใช้งานระบบได้ครบวงจรขึ้น แก้ปัญหารถติด นโยบายนี้เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้ เมื่อค่าโดยสารถูกลง ผู้คนจะหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่วิ่งบนถนนในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร ยังช่วยลดเวลาการเดินทางและความเครียดของผู้ใช้ถนนด้วย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบขนส่งของเมือง ทำให้การเดินทางสะดวกและราบรื่นขึ้นโดยรวมในระยะยาว เชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมือง นโยบายนี้เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจและชุมชนเมืองเติบโตเป็นระบบ การลดค่าเดินทางช่วยเพิ่มกำลังซื้อและโอกาสทางธุรกิจในชุมชนต่างๆ เนื่องจากผู้คนสามารถเดินทางเข้า - ออกเมืองได้สะดวกและบ่อยขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าหลายสายยังช่วยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้ารวดเร็ว ทำให้ชุมชนต่างๆ มีโอกาสพัฒนาไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เบื้องหลังการผลักดันนโยบาย โครงการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพฯ พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่วางแนวนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ในขณะที่กรุงเทพฯ นำโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผลักดันให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น นโยบายรถไฟฟ้ากับชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นหัวใจของชีวิตคนเมือง ร่วมกับการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและมลพิษ พร้อมผลักดันให้โครงการได้ผลจริงในเชิงปฏิบัติ เช่น การเชื่อมโยงเส้นทางและเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคสังคมมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามผล ทำให้นโยบายนี้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองจริงๆ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท… ความท้าทายและคำถามที่ยังคงอยู่ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แม้จะได้รับการตอบรับอย่างดีและช่วยลดภาระค่าโดยสารของประชาชน แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนทางการเงินหลักๆ เพราะรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ แต่จากการศึกษาพบว่า… ต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายหลักอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อเที่ยว ทำให้นโยบายนี้เป็นไปได้ถ้าบริหารจัดการดีและมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่มั่นคง เช่น การใช้รายได้ภาษีจากภาคขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า โดยเฉพาะสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้และผลประโยชน์ของภาคเอกชน ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนและการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล ปัญหานี้ยังเป็นอุปสรรคที่ต้องเจรจาและหาข้อตกลงร่วมที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทางเลือกและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนานโยบายในอนาคต ได้แก่ การผลักดันกฎหมายตั๋วร่วมเพื่อให้ใช้บริการได้ด้วยบัตรเดียวทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทให้เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความมั่นคงและเข้าถึงได้ง่ายในระยะยาว สรุป นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคนเมือง ทำให้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ช่วยเชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมแก้ไขปัญหารถติดและมลพิษ เพิ่มคุณภาพชีวิตคนเมืองอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกรุงเทพฯ และภาคประชาสังคม ซึ่งบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมและติดตามนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง FAQ – คำถามที่พบบ่อย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทครอบคลุมทุกสายไหม? โครงการนี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) สายสีน้ำเงิน (MRT) สายสีเหลือง สายสีชมพู และ Airport Rail Link (ARL) รวมรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงที่ทำไปแล้วทั้งหมด 8 สาย รวม 13 เส้นทางและกว่า 194 สถานีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางในราคาคงที่เพียง 20 บาทตลอดสาย แม้ต้องเปลี่ยนสายก็จะไม่เกินราคานี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งผลต่อปัญหารถติดในกรุงเทพฯ อย่างไร? นโยบายนี้ช่วยลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เพราะราคาค่าโดยสารถูกลง คุณภาพชีวิตและการเดินทางจึงดีขึ้น ลดความหนาแน่นของการจราจรในช่วงเร่งด่วนได้ ประชาชนมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายนี้ได้อย่างไร? ประชาชนสามารถร่วมลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ และใช้บัตร EMV Contactless หรือบัตร Rabbit แบบ ABT เพื่อยืนยันตัวตน ร่วมกันใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการของระบบขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้นต่อไป
อนาคตเข้าถึงได้! นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท โครงการเปลี่ยนชีวิตคนเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามาเจาะลึกกับนโยบายรถไฟฟ้า20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน

ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน
ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักจากเสียงประชาชนสู่การแก้ไขจริง! Traffy Fondue คือระบบร้องเรียนของ กทม. นำเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวกรุงให้ดีขึ้น

ทำความรู้จักรัฐสวัสดิการคืออะไร หนทางสู่ความเท่าเทียมในสังคม

บทความนี้ CHEEWID จะพาไปทำความรู้จักว่ารัฐสวัสดิการคืออะไร มีอะไรบ้าง และในประเทศอื่นๆ นั้นมีระบบสวัสดิการสังคมอะไรบ้างที่น่าสนใจ และประเทศเหล่านั้นนำพาไปสู่ความก้าวหน้าของผู้คนในสังคมได้อย่างไร
ทำความรู้จักรัฐสวัสดิการคืออะไร หนทางสู่ความเท่าเทียมในสังคม
Table of Contents

ในโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยสังคมในรูปแบบระบบทุนนิยมนั้น เหมือนว่าจะทำให้ทุกคนมีโอกาสในการพัฒนาตนเองไปสู่ความมั่งคั่งได้อย่างเท่าเทียม หากแต่ในความเป็นจริงแล้ว ภายใต้เสรีภาพในการพัฒนาอนาคตของตนเองนั้นกลับถูกครอบงำโดยข้อจำกัดมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นฐานที่ไม่เท่าเทียมกันของผู้คนในสังคมตั้งแต่แรก จึงทำให้การพัฒนาไม่สามารถทำให้เกิดเป็นความเท่าเทียมได้ในท้ายที่สุด 

การเกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการ หรือ Welfare state คืออีกหนึ่งทางออกที่จะช่วยสร้างความเท่าเทียม และโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการต่างๆ ให้แก่ผู้คนในสังคมผ่านระบบสวัสดิการสังคม ที่จะสามารถนำพาให้สังคมก้าวเข้าไปใกล้เคียงกับความเป็นสังคมในอุดมคติมากยิ่งขึ้น

รัฐสวัสดิการ คืออะไร

ทำความรู้จัก รัฐสวัสดิการ คืออะไร

รัฐสวัสดิการ คือ รัฐที่ประชาชนในประเทศมีโอกาสใช้บริการ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้โดยไม่ต้องใช้เงินของตนเอง โดยรัฐจะเป็นผู้จัดหา และให้บริการสิ่งนั้นๆ กับประชาชนในขณะที่ประชาชนต้องจ่ายภาษีเพื่อเป็นการสนับสนุนโดยอ้อมต่อระบบสวัสดิการสังคมต่างๆ 

ดร.เดชรัต สุขกำเนิด นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ได้ให้นิยามของรัฐสวัสดิการไว้ว่า “การที่รัฐหาสวัสดิการพื้นฐานที่จำเป็นให้ประชาชน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาสด้านต่างๆ โดยใช้เงินจากภาษีที่เก็บจากประชาชนเป็นหลัก” 

ดังนั้นรัฐสวัสดิการ คือการช่วยทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบการบริการของรัฐได้อย่างเท่าเทียมกัน เช่น สวัสดิการการรักษาพยาบาล ระบบการศึกษา เงินสนับสนุนบุตร เป็นต้น 

รัฐสวัสดิการในโลกตะวันตก

รัฐสวัสดิการในโลกตะวันตก

รัฐสวัสดิการในโลกตะวันตกเกิดขึ้นจากการผลักดันโดยภาคประชาสังคม เพื่อทำให้เกิดสิทธิเสรีภาพทางเศรษฐกิจและสังคมใหม่ภายใต้รัฐในระบบสังคมทุนนิยมอุตสาหกรรม โดยสามารถแบ่งรัฐสวัสดิการได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 

  • เสรีนิยม (Liberal)

เป็นการใช้กลไกตลาดในการจัดสรรสวัสดิการ โดยเอกชนจะเป็นตัวสำคัญในการจัดการกับระบบนี้ ซึ่งรัฐจะทำหน้าที่สนับสนุนเพียงสวัสดิการขั้นพื้นฐานเท่านั้น จึงทำให้สิทธิ และการกระจายอำนาจไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มประสิทธิภาพมากนัก เนื่องจากจะมีการคัดกรอง และแบ่งแยกผู้ที่จะได้รับสิทธิตามกำลังในการเข้าถึงความช่วยเหลือของแต่ละคน 

ข้อดีของระบบนี้คือเป็นระบบสวัสดิการสังคมที่ไม่คำนึงถึงความแตกต่างของอาชีพ คน ไม่จำเป็นต้องทำงานทุกประเภทเพื่อให้ได้มาซึ่งรัฐสวัสดิการต่างๆ แต่ข้อเสียคือการจะเข้าถึงสวัสดิการได้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของคน และมีการแบ่งแยกชนชั้นผ่านการได้รับสิทธิในสวัสดิการด้วยเช่นกัน โดยประเทศที่มีการใช้รัฐสวัสดิการแบบเสรีนิยม ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และออสเตรเลีย เป็นต้น 

  • อนุรักษ์นิยม (Conservative)

ระบบสวัสดิการสังคมแบบนี้จะใช้อาชีพของคนในการจัดสรรสวัสดิการ ซึ่งสวัสดิการจะถูกจัดผ่านกองทุนสนับสนุนในวิชาชีพของแต่ละคน จึงทำให้แต่ละคนจะได้รับการจัดสรรสวัสดิการที่แตกต่างกันออกไป 

ข้อดีของระบบรัฐสวัสดิการแบบนี้คือสิทธิประโยชน์ที่แต่ละคนจะได้รับขึ้นตรงตามรายรับตามอาชีพของตน ในขณะที่ข้อเสียคือบริการสาธารณะจะไม่พัฒนาเท่าที่ควร มีการแบ่งชนชั้นทางสังคมที่ชัดเจนตามแต่ละอาชีพ และรายรับของแต่ละคน ประเทศที่มีการใช้ระบบสวัสดิการสังคมแบบอนุรักษ์นิยมได้แก่ อิตาลี และฝรั่งเศส เป็นต้น 

  • สังคมนิยมประชาธิปไตย (Social Democratic)

รัฐสวัสดิการในรูปแบบนี้ คือการที่รัฐจะเป็นผู้ที่เข้ามาจัดสรรสวัสดิการให้แก่ประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ มากำหนดสิทธิในการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ ซึ่งจะแตกต่างออกไปจากรูปแบบเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยม ระบบสวัสดิการสังคมแบบถ้วนหน้าโดยรัฐนี้จำเป็นที่จะต้องได้รับการสนับสนุนจากประชาชนผ่านการเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นข้อเสียของระบบรัฐสวัสดิการแบบนี้ 

แต่ในขณะเดียวกันข้อดีคือสังคมจะไม่มีการแบ่งชนชั้นทางรายได้ มีความเท่าเทียมกันในการเข้าถึงสวัสดิการ และสิทธิต่างๆ ตามที่แต่ละคนควรจะได้รับ ประเทศที่มีรัฐสวัสดิการรูปแบบดังกล่าว คือกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย เช่น เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน เป็นต้น 

รัฐสวัสดิการในโลกตะวันออก

รัฐสวัสดิการในโลกตะวันออก

รัฐสวัสดิการในโลกตะวันออกเป็นการดำเนินการจากรัฐบาลเพื่อประชาชน หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการผลักดันจากบนสู่ล่าง ในช่วงแรกการจัดสรรสวัสดิการเป็นหนึ่งในเครื่องมือเพื่อการรวมชาติ และเพื่อสร้างความเป็นอัตลักษณ์ร่วมกัน โดยรัฐจะเข้าไปแทรกแซงในกิจกรรมต่างๆ ของภาคสังคมเพื่อส่งเสริมสังคม และกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดทั้งทางด้านทรัพยากร และองค์ความรู้ จึงทำให้รัฐไม่สามารถจัดสรรสวัสดิการไปสู่ประชาชนได้อย่างทั่วถึงเช่นกัน

ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ใช้ระบบรัฐสวัสดิการในโลกตะวันออก โดยรัฐสวัสดิการของไทยเป็นแบบ Particularist กล่าวคือ รัฐจะจัดสรรสวัสดิการให้แก่ประชาชนตามความต้องการของแต่ละกลุ่มตามที่รัฐเห็นสมควร จึงทำให้แต่ละกลุ่มจะได้รับสิทธิที่แตกต่างกันออกไป 

รัฐสวัสดิการ ความมั่นคงของมนุษย์ที่รัฐสามารถสร้างได้

รัฐสวัสดิการ ความมั่นคงของมนุษย์ที่รัฐสามารถสร้างได้

รัฐสวัสดิการมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการเข้ามาแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียม และลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเหลื่อมล้ำทางชนชั้นระหว่างคนรวยและคนจน ซึ่งการเกิดขึ้นของรัฐสวัสดิการนี้เองจะช่วยส่งเสริมให้ทุกๆ คนในสังคมมีโอกาสอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่ได้คำนึงถึงช่วงชั้นทางสังคมของผู้คน 

ตัวอย่างของความเหลื่อมล้ำในสังคมได้แก่ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ซึ่งความเหลื่อมล้ำนี้เกิดขึ้นมาจากโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาของแต่ละคนไม่เท่าเทียมกัน คนที่มีฐานะดีกว่าย่อมมีโอกาส และตัวเลือกทางการศึกษาที่ดีมากกว่า ดังนั้น การเกิดขึ้นของสวัสดิการรัฐ จึงเพื่อเข้ามาลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาผ่านการออกนโยบายสนับสนุนค่าเล่าเรียน หรือการให้ทุนการศึกษาแก่นักเรียนผู้ยากไร้ จึงช่วยให้เยาวชนมีสิทธิในการเข้าถึงการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมมากขึ้น 

 

 

หากไม่มีรัฐสวัสดิการในสังคมจะทำให้เกิดเป็นวงจรของความเหลื่อมล้ำอย่างต่อเนื่อง อธิบายได้จากการยกตัวอย่างความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เมื่อแต่ละคนได้รับโอกาสทางการศึกษาไม่เท่าเทียมกัน โอกาสในการพัฒนาทักษะองค์ความรู้ และความสามารถจึงแตกต่างกัน ซึ่งนำไปสู่การแสวงหารายได้ และทรัพยากรในอนาคตที่ไม่เท่าเทียมกันต่อไป 

ดังนั้น การมีขึ้นของรัฐสวัสดิการจะทำให้ผู้คนในสังคมได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ เพื่อการดำรงชีวิต และการพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เหมาะสมในการดำรงอยู่ในสังคม และการที่รัฐสนับสนุนให้มีระบบสวัสดิการสังคมที่ดีก็จะส่งผลดีต่อการพัฒนาประเทศไปสู่ความก้าวหน้าจากการพัฒนาคุณภาพของประชาชนด้วยเช่นกัน 

ตัวอย่างประเทศรัฐสวัสดิการ

ตัวอย่างประเทศรัฐสวัสดิการ 

รัฐสวัสดิการเปรียบเสมือนเครื่องยืนยันชั้นดีที่จะทำให้ประชาชนในสังคมมั่นใจได้ว่า ตั้งแต่เกิดจนตายพวกเขาจะได้รับการดูแลที่ดีจากรัฐ และมีความมั่นคงในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองผ่านการได้รับการสนับสนุนปัจจัยขั้นพื้นฐาน ดังนั้น การที่รัฐมอบทั้งความมั่นคงในชีวิต และความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้แก่คนในสังคมได้ก็จะทำให้ประเทศชาติสามารถพัฒนาก้าวไปสู่ความเจริญอย่างมั่นคงในภายภาคหน้าได้ 

ไปดูกันว่ารัฐสวัสดิการของแต่ละประเทศมีลักษณะเป็นแบบไหน และมีระบบสวัสดิการสังคมอะไรบ้างที่น่าสนใจ

  • ฝรั่งเศส

ระบบรัฐสวัสดิการของประเทศฝรั่งเศส เป็นรัฐสวัสดิการที่สามารถกระจายสวัสดิการสังคมไปได้อย่างทั่วถึง โดยพบว่าประเทศฝรั่งเศสใช้งบประมาณเพื่อโครงการสวัสดิการสังคมถึง 31.1 % ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากที่สุดในโลก โดยระบบสวัสดิการจะมุ่งเน้นไปเพื่อการบริการด้านสุขภาพ และผู้สูงอายุ อีกทั้งยังมีสวัสดิการอื่นๆ เช่น การสนับสนุนการศึกษาฟรีให้แก่ประชาชน และมีเงินอุดหนุนให้แก่ครอบครัวที่มีบุตรเกิน 2 คนด้วยเช่นกัน เนื่องจากสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในสังคม อีกทั้งผู้สูงอายุนั้นเรียกได้ว่าเป็นกลุ่มวัยที่ไม่สามารถดูแลตนเองได้แล้ว ดังนั้น การมีอยู่ของรัฐสวัสดิการเพื่อสุขภาพ และผู้สูงอายุจะช่วยเข้ามาแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมได้เป็นอย่างดี นับได้ว่าเป็นข้อดีของระบบสวัสดิการสังคมของประเทศฝรั่งเศสเลยก็ว่าได้ 

ในทางตรงกันข้ามข้อเสียของระบบสวัสดิการของฝรั่งเศส คือการที่รัฐเรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูง เพื่อแลกมาซึ่งรัฐสวัสดิการแบบครอบคลุม อีกทั้งรัฐสวัสดิการบางอย่างนั้นเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ผู้คนเลือกที่จะรอการช่วยเหลือจากรัฐแทนการพึ่งพาตนเอง เช่น การให้เงินอุดหนุนครอบครัวที่มีลูกเกิน 2 คน ช่องโหว่นี้เองทำให้บางครอบครัวเลือกที่จะมีบุตรเยอะทั้งที่ครอบครัวไม่พร้อม เพื่อที่จะรอรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 

  • ฟินแลนด์

ประเทศฟินแลนด์เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีระบบสวัสดิการที่ดีมอบให้แก่ประชาชน โดยมีทั้งรัฐสวัสดิการเพื่อการศึกษา และสวัสดิการเพื่อผู้สูงอายุ รัฐยังมีการสนับสนุนวันลาคลอดบุตรให้แก่ทั้งพ่อและแม่ และช่วยสนับสนุนดูแลทารกแรกเกิดผ่านการให้ของใช้จำเป็น หรือจะเลือกเป็นเงินสนับสนุนก็ได้ จึงนับได้ว่าข้อดีของรัฐสวัสดิการแบบประเทศฟินแลนด์เป็นการดูแลตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา จนสามารถมอบการศึกษาที่ดีที่สุดให้แก่เยาวชน ไปจนถึงการดูแลในช่วงสุดท้ายของชีวิตด้วยเช่นกัน 

แน่นอนว่าข้อเสียของระบบสวัสดิการแบบครอบคลุมเช่นนี้ ตามมาด้วยการที่ประชาชนต้องแบกภาระในการเสียภาษีในอัตราที่มากพอสมควร โดยจากการสำรวจในปี 2018 พบว่าอัตราภาษีเงินได้เฉลี่ยของคนฟินแลนด์คิดเป็นถึงร้อยละ 51.6 แต่อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าอัตราการเสียภาษีจะมาก แต่ก็แลกมาด้วยการพัฒนารัฐสวัสดิการในด้านต่างๆ อย่างเห็นได้ชัด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในสังคม 

  • เดนมาร์ก

ระบบสวัสดิการสังคมของประเทศเดนมาร์ก เป็นระบบสวัสดิการที่มีการจัดสรรให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง และเท่าเทียมโดยไม่มีการแบ่งแยกชนชั้นทางสังคม จึงทำให้ประชาชนทุกคนมีเสรีภาพที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จากการแจกจ่ายสวัสดิการอย่างทั่วถึง ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการเพื่อการศึกษา การรักษาพยาบาล หรือสวัสดิการขั้นพื้นฐานอื่นๆ ที่ประชาชนควรจะได้รับ โดยไม่ต้องมีการพิสูจน์ความจนเลย ซึ่งรูปแบบสวัสดิการนี้เองจะช่วยทำให้ลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสิทธิต่างๆ ในสังคมได้เป็นอย่างดี และทำให้สามารถพัฒนาประเทศไปสู่ความก้าวหน้าได้พร้อมๆ กัน โดยที่ไม่ต้องทิ้งคนกลุ่มใดไว้ข้างหลัง 

ส่วนทางด้านข้อเสียสำหรับระบบสวัสดิการสังคมที่ครอบคลุมแบบนี้แน่นอนว่าก็ต้องเป็นการที่ประชาชนในประเทศต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงเช่นกัน โดยจากการสำรวจพบว่ารายได้จากภาษีส่วนใหญ่นั้นมาจากภาษีเงินได้ของบุคคลธรรมดามากกว่าครึ่ง หรือร้อยละ 52.2 เลยทีเดียว 

  • เบลเยียม

ระบบสวัสดิการในประเทศเบลเยียมมีงบประมาณในการสนับสนุนโครงการระบบสวัสดิการสังคมสูงถึงร้อยละ 28.7 ของ GDP ซึ่งระบบสวัสดิการของเบลเยียมมีทั้งระบบสวัสดิการเพื่อส่งเสริมครอบครัว ช่วยเหลือผู้พิการ และบริการทางด้านสุขภาพให้แก่ประชาชน และที่น่าสนใจคือสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือแรงงาน และกลุ่มคนว่างงาน ซึ่งนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีระบบสวัสดิการสังคมซึ่งจะช่วยทำให้ไม่ต้องกังวลถึงปัจจัยพื้นฐานในการดำเนินชีวิต อีกทั้งในช่วงของการว่างงานก็ยังคงมีรัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนในขณะที่กำลังขาดรายได้อีกด้วย

ในส่วนของจุดด้อยของรัฐสวัสดิการของเบลเยียมพบว่า ในขณะที่การบริการทางด้านสุขภาพนั้นรัฐมีการจัดสรรให้แก่ประชาชนอย่างดี ก็ทำให้เกิดเป็นภาวะ Medical shopping หรือเกิดการควบคุมค่าใช้จ่ายทางด้านบริการด้านสุขภาพได้ยาก

  • อิตาลี

อิตาลีมีระบบสวัสดิการสังคมที่ดีในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการเพื่อการศึกษาสำหรับเยาวชนอายุตั้งแต่ 6 – 18 ปี สวัสดิการเพื่อสุขภาพ สวัสดิการที่พักอาศัยราคาถูกแต่เหมาะสมกับคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน และรวมไปถึงสวัสดิการสำหรับผู้ว่างงาน และเงินบำนาญด้วยเช่นกัน โดยจากการสำรวจพบว่างบประมาณการใช้จ่ายเพื่อสวัสดิการสังคมของอิตาลีมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 27.6 เลยทีเดียว 

จุดด้อยในระบบสวัสดิการสังคมของอิตาลี คือสวัสดิการเพื่อการศึกษา โดยพบว่า แม้รัฐบาลอิตาลีจะจัดสรรให้เยาวชนได้รับการศึกษาฟรี แต่ในขณะเดียวกัน รัฐไม่ได้สนับสนุนค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียนทั้งหมด จึงทำให้ครอบครัวยังคงต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายในอุปกรณ์การเรียน หนังสือเรียน รวมไปถึงเครื่องแบบนักเรียนด้วยเช่นกัน

  • ออสเตรีย

ออสเตรียมีระบบสวัสดิการของรัฐหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นโครงการช่วยเหลือผู้สูงอายุ และผู้พิการ การบริการทางด้านสุขภาพ รวมทั้งการช่วยเหลือสนับสนุนผู้ยากไร้ และประชากรวัยแรงงานด้วยเช่นกัน โดยพบว่ารัฐบาลออสเตรียใช้งบประมาณเพื่อสวัสดิการของรัฐไปมากกว่าร้อยละ 27.3 เลยทีเดียว ทำให้เห็นว่ารัฐบาลมีความใส่ใจที่จะการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากร และเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

เนื่องด้วยออสเตรียเป็นรัฐสวัสดิการแบบอนุรักษ์นิยม จึงทำให้การจัดสรรสวัสดิการรัฐยังคงแบ่งแยกชนชั้นทางสังคม และแบ่งแยกสวัสดิการตามอาชีพด้วยเช่นกัน จึงทำให้สิทธิบางอย่างไม่สามารถกระจายไปสู่ทุกคนได้อย่างทั่วถึง 

  • สวีเดน

รัฐสวัสดิการของสวีเดน ได้แก่ บริการด้านสุขภาพ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ประกันสำหรับผู้ว่างงาน และระบบขนส่งสาธารณะที่ดี ซึ่งการที่รัฐสามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานเหล่านี้ให้แก่ประชาชนได้ ทำให้ผู้คนสามารถดำเนินชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณภาพ และแน่นอนว่าจะส่งผลดีต่อประเทศเป็นวงกว้างด้วยเช่นกัน 

ในส่วนของจุดด้อย คือระบบสวัสดิการสังคมของประเทศสวีเดนนั้นแลกมาด้วยการเสียภาษีที่สูงของประชาชนในประเทศ แต่อย่างไรก็ตามพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ยินดีที่จะเสียภาษีให้รัฐเพื่อแลกมาด้วยสวัสดิการที่เห็นและจับต้องได้ชัดเจนว่าดีต่อการดำเนินชีวิต 

  • เยอรมนี

เยอรมนีเป็นหนึ่งในประเทศที่มีจำนวนผู้สูงอายุในสังคมสูงเป็นอันดับต้นๆ โดยคิดเป็นร้อยละ 21 จากจำนวนประชากรทั้งหมดที่มีอยู่กว่า 83 ล้านคน จึงทำให้งบประมาณของรัฐสวัสดิการส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อตอบสนองกลุ่มผู้สูงอายุ ในขณะเดียวกัน สวัสดิการอื่นๆ ก็ยังคงมีเพื่อตอบสนองคนวัยอื่นๆ ในสังคมเช่นกัน เช่น การศึกษา บริการสาธารณะ การรักษาพยาบาล เป็นต้น ซึ่งภาษีที่ประชาชนจะต้องเสียให้รัฐบาลจะถูกนำมาพัฒนาการบริการสาธารณะต่างๆ เพื่อทำให้ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น

โดยจุดด้อยของรัฐสวัสดิการของประเทศเยอรมนี คือการที่รัฐสวัสดิการเป็นการบังคับทางอ้อม กล่าวคือ ภาษีที่เสียไปจะถูกนำไปรวมเป็นกองทุนเพื่อสวัสดิการ โดยผลตอบแทนที่ได้จากการเสียภาษีจะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับอัตราการเสียภาษีที่บุคคลเสียไป จึงทำให้เห็นว่ายังคงมีความไม่เท่าเทียมอยู่บ้างในรูปแบบรัฐสวัสดิการของเยอรมนี 

  • นอร์เวย์

ระบบสวัสดิการสังคมของนอร์เวย์ส่วนใหญ่ถูกใช้เพื่อช่วยลดช่องว่างระหว่างชนชั้นทางสังคม โดยจะนำสวัสดิการไปเพื่อช่วยเหลือประชากรกลุ่มที่มีรายได้ต่ำสุด ซึ่งรูปแบบสวัสดิการแบบนี้เป็นตัวอย่างที่ดีที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคม อีกทั้งยังช่วยลดปัญหาความยากจนในประเทศได้ ในขณะเดียวกันประเทศนอร์เวย์ก็ยังให้บริการรัฐสวัสดิการอื่นๆ ได้ดีไม่แพ้กัน เพื่ออำนวยความสะดวก และตอบสนองความต้องการพื้นฐานของผู้คนในสังคมได้เป็นอย่างดี

แต่รูปแบบรัฐสวัสดิการเช่นนี้ทำให้ประชากรในประเทศจำเป็นที่จะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูง เพื่อการสนับสนุนให้เกิดเป็นสวัสดิการที่ดีต่อตัวของพวกเขาเอง 

  • กรีซ

กรีซนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่งบประมาณรัฐสวัสดิการส่วนใหญ่หมดไปกับการให้สวัสดิการประชาชนในด้านสุขภาพ และเงินบำนาญ โดยกรีซใช้งบประมาณด้านระบบสวัสดิการสังคมสูงถึง 24.7 ของ GDP ซึ่งผลในตอนแรกก็ทำให้รัฐบาลของกรีซได้รับความชื่นชม และความไว้วางใจจากประชากรในประเทศ เนื่องด้วยรัฐสวัสดิการสามารถตอบสนองความต้องการของพวกเขาได้เป็นอย่างดี 

แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้กรีซมีหนี้สาธารณะจำนวนมาก และประเทศกรีซต้องเผชิญกับวิกฤตทางเศรษฐกิจในท้ายที่สุด ทั้งนี้กรีซได้รับเงินช่วยเหลือเป็นจำนวนประมาณ 61.9 พันล้านยูโร ผ่านกลไกการเงินเพื่อเสถียรภาพแห่งยุโรป เพื่อที่จะทำให้วิกฤตทางเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัว และผ่านพ้นไปได้ในที่สุด 

ประเทศไทยกับรัฐสวัสดิการ สวัสดิการแห่งรัฐ

ประเทศไทยกับรัฐสวัสดิการ 

ประเทศไทยเองก็มีรัฐสวัสดิการที่ถูกจัดสรรโดยรัฐบาล ซึ่งรัฐสวัสดิการแรกที่เราจะพูดถึงคือประกันสังคม โดยประกันสังคมคือสวัสดิการแรกของไทยที่คนจากหลากหลายภาคส่วนรวมตัวกันเรียกร้องเพื่อให้ได้มาซึ่งความมั่นคงในชีวิต โดยสิทธิที่จะได้รับผ่านประกันสังคม ได้แก่ การได้รับเงินสนับสนุนในการคลอดบุตร และการสงเคราะห์ตั้งแต่แรกเกิด อีกทั้งจะได้รับการดูแลจากรัฐผ่านการให้เงินทดแทนหากถูกเลิกจ้างงาน หรือลาออก เป็นต้น

สวัสดิการถัดมาคือสวัสดิการเรียนฟรี โดยสวัสดิการนี้ได้กำหนดเพื่อให้เยาวชนได้รับสิทธิในการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นกฏหมายบังคับ จึงทำให้การศึกษาเป็นสิทธิของเยาวชนไทยทุกคน และสวัสดิการถัดมาคือเบี้ยคนพิการ ซึ่งผู้ที่จะได้รับสิทธิในสวัสดิการส่วนนี้คือผู้ทุพพลภาพ โดยผู้พิการที่ลงทะเบียนจะได้รับเบี้ยยังชีพ 800 – 1,000 บาทต่อเดือน

อีกหนึ่งโครงการที่จะไม่พูดไม่ได้เลยในสวัสดิการของสังคมไทยคือ ‘สวัสดิการแห่งรัฐ’ โดยเป็นสวัสดิการที่เกิดขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือบุคคลยากไร้ในสังคม ที่จะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ได้รับเงินช่วยเหลือบางส่วนจากรัฐบาล โดยจะได้รับเป็น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน เพื่อนำไปใช้ในการจับจ่ายสินค้าอุปโภค และบริโภคที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าการจะเข้าถึงสิทธิสวัสดิการแห่งรัฐได้ จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ตนว่าเป็น ‘ผู้ยากไร้’ และจำต้องมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยจะต้องมีการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของรัฐ โดยเมื่อผ่านการตรวจสอบแล้วก็ต้องเดินทางไปลงทะเบียนที่ธนาคารที่รัฐกำหนดเพื่อยืนยันตัวตนอีกครั้ง 

ถึงแม้ว่ารัฐจะพยายามแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นผ่านรัฐสวัสดิการ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังเห็นได้ว่า ในการยืนยันตัวตนเพื่อพิสูจน์ความยากไร้เองนั้นก็ยังคงมีความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีและแหล่งข้อมูล จึงทำให้ผู้ที่ยากไร้จริงๆ ในสังคมหลุดออกจากระบบสวัสดิการสังคมเหล่านี้ และไม่ได้รับสิทธิตามที่พวกเขาควรจะได้รับอย่างเหมาะสม

จุดอ่อนของรัฐสวัสดิการไทย

จากที่กล่าวมา เราเห็นได้ชัดว่ามีช่องโหว่ของรัฐสวัสดิการของไทยในการช่วยเหลือและสนับสนุนประชาชนในสังคมบางประการ เช่น สวัสดิการเรียนฟรี ถึงแม้ว่ารัฐจะมีนโยบายให้เรียนฟรีได้ถึง 15 ปี แต่ในขณะเดียวกันก็พบว่าตัวเลือกทางการศึกษายังคงมีอยู่อย่างหลากหลาย และโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาของแต่ละคนก็ต่างกันไป เนื่องจากบางโรงเรียนมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมทางการศึกษาเพิ่มเติม จึงทำให้มีแค่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงแหล่งการศึกษาที่ดีได้ อีกทั้ง การที่รัฐสนับสนุนค่าเรียนนั้นยังคงไม่ครอบคลุมในค่าธรรมเนียมอื่นๆ จึงทำให้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาในสังคมไทยยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง หรือรัฐสวัสดิการอื่นๆ ก็ยังคงพบช่องโหว่ที่ทำให้คนบางกลุ่มไม่สามารถใช้สิทธิของตนเองได้ เช่น เบี้ยคนพิการ เราจะเห็นได้ว่าผู้พิการจะต้องมีการลงทะเบียนในระบบเท่านั้นถึงจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐ จึงทำให้ผู้พิการจำนวนมากยังคงไม่ได้รับสิทธิในการดูแลอย่างเท่าเทียม ซึ่งเป็นจุดบกพร่องที่ทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยบางส่วนยังคงไม่ได้รับการยกระดับเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเท่าที่ควร 

การแก้ไขสวัสดิการรัฐ

เพื่อให้ได้รัฐสวัสดิการที่ครอบคลุมตามความต้องการของประชาชนนั้น จำเป็นที่จะต้องแก้ไขในหลายๆ มิติไปพร้อมๆ กัน โดยจากบทสัมภาษณ์ของรองศาสตราจารย์ ดร. ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี อาจารย์วิทยาลัยสหวิทยาการ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สามารถสรุปได้ว่า การให้สวัสดิการตามช่วงอายุเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยอาจารย์ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงเรื่องของสวัสดิการด้านการศึกษา เนื่องจากในปัจจุบันค่าเล่าเรียนนั้นเป็นภาระที่ครอบครัวต้องแบกเอาไว้ โดยรายได้เกือบทั้งหมดของแต่ละครอบครัวจะต้องนำไปทุ่มเพื่อการศึกษาของบุตรหลาน โดยเฉพาะในระดับการศึกษาที่สูงขึ้นค่าเรียนก็จะสูงขึ้นเช่นกัน จนทำให้บางครั้งค่าเล่าเรียนกลายเป็นหนี้ในอนาคต และเมื่อไม่สามารถเข้าถึงเงินจำนวนนี้ได้ ทำให้เยาวชนต้องถูกปิดกั้นความฝัน และโอกาสต่างๆ อีกมากมายนั่นเอง 

สรุป

รัฐสวัสดิการคือการที่รัฐจัดสรรสิทธิต่างๆ  ให้แก่คนในสังคมตามสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนควรได้รับ โดยประเทศที่มีระบบสวัสดิการสังคมที่ดี ได้แก่ ประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย สำหรับประเทศไทย Cheewid ขอเป็นส่วนหนึ่งในการเป็นกระบอกเสียงเพื่อช่วยสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมที่ควรจะได้รับการแก้ไข และเพื่อเพิ่มโอกาสที่ดีให้แก่ผู้คนในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มสวัสดิการต่างๆ ทั้งทางด้านการศึกษา การรักษาพยาบาล หรือปัจจัยพื้นฐานต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และเพื่อช่วยทำให้คนในสังคมโดยเฉพาะกลุ่มคนยากไร้ที่ขาดแคลนโอกาสได้รับการสนับสนุนตามสิทธิ และเสรีภาพที่พวกเขาควรจะได้รับ 

 

 

เราได้ร่วมมือกับองค์กร และหน่วยงานต่างๆ เพื่อทำให้คนในสังคมตระหนักรู้ถึงปัญหา และเข้าร่วมมาเป็นส่วนหนึ่งในการสะท้อน และแก้ปัญหาต่างๆ ในสังคมให้ยั่งยืน และนำประเทศไปสู่ความก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น 

 

 

Reference:

  1. กระทรวงการคลัง. โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี 2565. welfare.mof.go.th. Retrieved 19 October 2023.
  2. โกษม โกยทอง. จะมีรัฐสวัสดิการ รัฐบาลต้องทำอะไรบ้าง? : สำรวจการทำงานของรัฐบาลเดนมาร์ก. the101.world. Published on 14 September 2023. Retrieved 19 October 2023.
  3. ปาริชาติ โชคเกิด. ไม่มีประเทศไหนล่มจม เพราะดูแลเด็กและคนแก่ : ต้องคุยกันเรื่องรัฐสวัสดิการ อย่าปล่อยให้อภิสิทธิ์ชนคิดแทน. braninside.asia. Published on 20 June 2022.  Retrieved 18 October 2023.
  4. พรเทพ โชติชัยสุวัฒน. ระบบสุขภาพเบลเยี่ยม : เป็นธรรม อิสระในการเลือก และการเจรจาต่อรองทุกภาคส่วน. hfocus.org. Published on 27 October 2014. Retrieved 19 October 2023.
  5. สถาบันพระปกเกล้า. รัฐสวัสดิการ. wiki.kpi.ac.th. Retrieved 18 October 2023. 
  6. BBC. กรีซหลุดพ้นวิกฤตเศรษฐกิจแล้วหรือ?. bbc.com. Published on 21 August 20218. Retrieved 19 October 2023.
  7. BBC. ฟิน(แลนด์)ที่สุดในโลก?. bbc.com. Retrieved 19 October 2023.
  8. PPTV Online. ส่อง 10 ประเทศที่ถูกยกให้เป็น “รัฐสวัสดิการ” ดีสุดในโลก. pptvhd36.com.  Published on 26 July 2021. Retrieved 18 October 2023.
  9. ThaiPBS. รัฐสวัสดิการ ทางเลือกสู่การสร้างคนให้เท่ากันในสังคม?. theactive.net. Retrieved 18 October 2023. 
  10. The Momentum. กว่าจะมาถึงแนวคิด ‘รัฐสวัสดิการ’ : ความแตกต่างของโลกตะวันออกและตะวันตก. themomentum.com. Published on 29 March 2018. Retrieved 18 October 2023. 

Wefair. รัฐสวัสดิการชนะ!. wefair.org. Published on 01 July 2018. Retrieved 18 October 2023.

องค์กรเพื่อสังคมที่เกี่ยวข้อง

banner - apsw punboon
logo - apsw

สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ

สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ ก่อตั้งโดยแม่ชีคุณหญิงกนิษฐา วิเชียรเจริญ จัดทำโครงการ “บ้านพักฉุกเฉิน” เพื่อเป็นที่พักพิงสำหรับผู้หญิงและเด็กที่ประสบปัญหาวิกฤตชีวิต โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพสตรีอย่างรอบด้าน
banner - ร้อยพลังการศึกษา
logo - ร้อยพลังการศึกษา

โครงการร้อยพลังการศึกษา

โครงการความร่วมมือเชื่อมร้อยพลังผู้คนในสังคมไทยที่มีเป้าหมาย พัฒนาคุณภาพการศึกษาและช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่ด้อยโอกาส เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นกับสังคมไทย
banner - ead สมาคมคนพิการภาคตะวันออก
logo - ead สมาคมคนพิการภาคตะวันออก

สมาคมคนพิการภาคตะวันออก

โครงการแจกรถสปอร์ตวีลแชร์ 1,500 คัน 77 จังหวัด สำหรับนักกีฬาและคนพิการที่ขาดแคลน เราฝึกอาชีพคนพิการ หลักสูตรช่างตัดเย็บเสื้อผ้า ระดับต้น ระดับกลาง และหลักสูตรการทำเบเกอรี่
banner - ira for all campaign ira For All - บริจาคผ้าอนามัยเพื่อรักษาสุขอนามัยและศักดิ์ศรีของทุกคน
logo - ira

Ira Concept (ไอร่า คอนเซปท์)

ผู้พัฒนาผ้าอนามัยออร์แกนิคและย่อยสลายได้ 99% ที่ส่งเสริมการรักษาสุขอนามัยและศักดิ์ศรีของเพศหญิง ทำลายอคติต่อประจำเดือน และเพิ่มทางเลือกที่ปลอดภัยต่อผู้ใช้และโลกของเรา Period Rights = Human Rights