เข้าสู่ระบบ

Table of Contents
Recent Post
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จัก ปัญหาทางเท้าที่คนไทยต้องเจอ ทั้งฟุตบาทไม่ทนทาน รถจักรยานยนต์ ร้านค้าบนทางเท้า การออกแบบที่ไม่คิดถึงผู้พิการและผู้สูงอายุ มาสร้างทางเท้าให้ดี เพื่อชีวิตที่ดีกัน!

ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข
ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักปัญหาว่างงานในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจส่งผลกระทบในวงกว้าง ควรมีทางออกเพื่อเสริมพลังและสร้างโอกาสใหม่ให้คนไทยกลับมายืนหยัดและมีชีวิตที่ดีได้อย่างเข้มแข็ง

Key Takeaway นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คือโครงการจากรัฐบาลที่กำหนดให้ประชาชนเดินทางในเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการได้ในราคาเดียวเพียง 20 บาทตลอดสาย เป้าหมายของโครงการคือสร้างความเท่าเทียม ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสให้คนเมืองทุกกลุ่มเข้าถึงการเดินทางอย่างสะดวก ลดปัญหารถติดและมลพิษ ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาชุมชนเมือง โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของรัฐบาล กรุงเทพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการผลักดันจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่มีวิสัยทัศน์ด้านระบบขนส่งมวลชน เชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้าในราคาคงที่ ช่วยให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ความท้าทายของนโยบายนี้ คือความยั่งยืนทางการเงิน ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลชดเชยผู้ประกอบการ และปัญหาการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า ทุกวันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าทีก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เพราะค่าโดยสารที่สะสมไปแต่ละวันไม่ใช่น้อยๆ เลย แต่ลองคิดดูว่า… ถ้าเราเดินทางไกลแค่ไหนก็จ่ายเพียง 20 บาท จะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากขนาดไหน? ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ! บทความนี้พามาเจาะลึกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน เรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งพนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือแม่ค้าพ่อค้า ที่ต้องใช้รถไฟฟ้าเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางทุกวันแน่นอน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คืออะไร? โครงการค่าโดยสาร 20 บาท คือความตั้งใจง่ายๆ ที่อยากให้การเดินทางสาธารณะเป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน พนักงาน หรือผู้สูงอายุ เรื่องนี้เริ่มต้นจากคำถามว่า “ทำไมคนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงหลายระดับ บางทีแค่ไปทำงานหรือไปเรียนใกล้ๆ ก็ต้องจ่ายราคาเต็ม?” แนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวจึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยลดภาระและทำให้ทุกคนได้รับสิทธิ์เดินทางในราคาเท่ากัน ในปี 2567 ได้เริ่มทำโครงการนำร่องในสายสีแดงและสายสีม่วงแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากเลย ส่วนเรื่องการหาเงินมาจ่ายนั้น รัฐบาลไม่ได้แค่รับภาระทั้งหมดเอง แต่มีการแบ่งงบและจัดสรรเงินมาใช้ชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ให้บริการยังสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ขาดทุน กลไกนี้ช่วยให้ความมั่นคงในการเดินรถยังดำเนินไปได้ โดยรัฐจะพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการจริงและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนเป็นธรรมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจว่าจะทำให้คมนาคมสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเดินทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวที่คนทุกวัยทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ทำไมนโยบายนี้ถึงสำคัญกับคนเมือง? ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทุกวัน การเดินทางในเมืองใหญ่จึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน การมีนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองและหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาได้จริง ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายวันได้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนและคนที่ต้องเดินทางประจำ การกำหนดราคาเดียวช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทางไกล เพิ่มโอกาสในการเดินทางและใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายยังช่วยกระตุ้นให้เกิดชุมชนและธุรกิจใหม่ในเขตชานเมือง เพิ่มความสะดวกและคุณภาพชีวิตในเมืองอย่างยั่งยืน ลดปัญหารถติดและมลพิษ นโยบายนี้ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เมื่อประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ปริมาณรถติดก็ลดลงตามไปด้วย ช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การใช้รถไฟฟ้ายังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ที่สำคัญคือทำให้เมืองน่าอยู่ สะอาด และเดินทางได้คล่องตัวมากขึ้นสำหรับทุกคน สร้างเมืองที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน นโยบายนี้ไม่ได้แค่ทำให้ค่าโดยสารถูกลงเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย นักเรียน หรือผู้สูงอายุ ช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมและเป็นธรรม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทาง และทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นคนทุกกลุ่ม เป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของคนในเมืองใหญ่ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน พร้อมส่งเสริมให้คนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น สร้างความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว ความเท่าเทียมในการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเดินทาง เพราะไม่ว่าคนจะขึ้นรถไฟฟ้ากี่สายหรือต้องเดินทางไกลเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็จ่ายค่าโดยสารราคาเดียว ทำให้ทุกคนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือรัฐบาลช่วยชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ เพื่อรักษาคุณภาพบริการและทำให้นโยบายนี้ดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ นโยบายนี้ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพราะราคาค่าโดยสารที่ถูกลงทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่าย ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลยังร่วมมือกับกรุงเทพฯ ในการพัฒนาระบบตั๋วร่วมและฟีดเดอร์ระบบขนส่ง เช่น รถเมล์ที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการใช้งานระบบได้ครบวงจรขึ้น แก้ปัญหารถติด นโยบายนี้เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้ เมื่อค่าโดยสารถูกลง ผู้คนจะหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่วิ่งบนถนนในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร ยังช่วยลดเวลาการเดินทางและความเครียดของผู้ใช้ถนนด้วย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบขนส่งของเมือง ทำให้การเดินทางสะดวกและราบรื่นขึ้นโดยรวมในระยะยาว เชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมือง นโยบายนี้เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจและชุมชนเมืองเติบโตเป็นระบบ การลดค่าเดินทางช่วยเพิ่มกำลังซื้อและโอกาสทางธุรกิจในชุมชนต่างๆ เนื่องจากผู้คนสามารถเดินทางเข้า - ออกเมืองได้สะดวกและบ่อยขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าหลายสายยังช่วยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้ารวดเร็ว ทำให้ชุมชนต่างๆ มีโอกาสพัฒนาไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เบื้องหลังการผลักดันนโยบาย โครงการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพฯ พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่วางแนวนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ในขณะที่กรุงเทพฯ นำโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผลักดันให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น นโยบายรถไฟฟ้ากับชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นหัวใจของชีวิตคนเมือง ร่วมกับการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและมลพิษ พร้อมผลักดันให้โครงการได้ผลจริงในเชิงปฏิบัติ เช่น การเชื่อมโยงเส้นทางและเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคสังคมมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามผล ทำให้นโยบายนี้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองจริงๆ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท… ความท้าทายและคำถามที่ยังคงอยู่ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แม้จะได้รับการตอบรับอย่างดีและช่วยลดภาระค่าโดยสารของประชาชน แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนทางการเงินหลักๆ เพราะรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ แต่จากการศึกษาพบว่า… ต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายหลักอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อเที่ยว ทำให้นโยบายนี้เป็นไปได้ถ้าบริหารจัดการดีและมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่มั่นคง เช่น การใช้รายได้ภาษีจากภาคขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า โดยเฉพาะสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้และผลประโยชน์ของภาคเอกชน ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนและการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล ปัญหานี้ยังเป็นอุปสรรคที่ต้องเจรจาและหาข้อตกลงร่วมที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทางเลือกและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนานโยบายในอนาคต ได้แก่ การผลักดันกฎหมายตั๋วร่วมเพื่อให้ใช้บริการได้ด้วยบัตรเดียวทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทให้เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความมั่นคงและเข้าถึงได้ง่ายในระยะยาว สรุป นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคนเมือง ทำให้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ช่วยเชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมแก้ไขปัญหารถติดและมลพิษ เพิ่มคุณภาพชีวิตคนเมืองอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกรุงเทพฯ และภาคประชาสังคม ซึ่งบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมและติดตามนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง FAQ – คำถามที่พบบ่อย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทครอบคลุมทุกสายไหม? โครงการนี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) สายสีน้ำเงิน (MRT) สายสีเหลือง สายสีชมพู และ Airport Rail Link (ARL) รวมรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงที่ทำไปแล้วทั้งหมด 8 สาย รวม 13 เส้นทางและกว่า 194 สถานีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางในราคาคงที่เพียง 20 บาทตลอดสาย แม้ต้องเปลี่ยนสายก็จะไม่เกินราคานี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งผลต่อปัญหารถติดในกรุงเทพฯ อย่างไร? นโยบายนี้ช่วยลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เพราะราคาค่าโดยสารถูกลง คุณภาพชีวิตและการเดินทางจึงดีขึ้น ลดความหนาแน่นของการจราจรในช่วงเร่งด่วนได้ ประชาชนมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายนี้ได้อย่างไร? ประชาชนสามารถร่วมลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ และใช้บัตร EMV Contactless หรือบัตร Rabbit แบบ ABT เพื่อยืนยันตัวตน ร่วมกันใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการของระบบขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้นต่อไป
อนาคตเข้าถึงได้! นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท โครงการเปลี่ยนชีวิตคนเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามาเจาะลึกกับนโยบายรถไฟฟ้า20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน

ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน
ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักจากเสียงประชาชนสู่การแก้ไขจริง! Traffy Fondue คือระบบร้องเรียนของ กทม. นำเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวกรุงให้ดีขึ้น

สุขภาพจิตที่ดีสำคัญอย่างไร ตรวจสภาพจิตใจ ร่วมกันแก้ไขเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

CHEEWID ชวนมาดูว่าสุขภาพจิตที่ดีสำคัญอย่างไร สุขภาพจิตไม่ดีเป็นอย่างไร ตลอดจนมีวิธีดูแลสุขภาพจิตอย่างไรให้เหมาะสม เพื่อช่วยให้ทุกคนในสังคมใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
สุขภาพจิตที่ดีสำคัญอย่างไร ตรวจสภาพจิตใจ ร่วมกันแก้ไขเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี

Table of Contents

สุขภาพจิตที่ดี เป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา โดยเฉพาะในสังคมปัจจุบันท่ีเต็มไปด้วยความวุ่นวายน่าวิตกกังวล บทความนี้มีคำแนะนำดีๆ วิธีสังเกตตัวเองง่ายๆ พร้อมวิธีดูแลแก้ไข พร้อมทั้งแนะนำแหล่งช่วยเหลือและปรึกษาปัญหาจิตใจ จะมีอย่างไรบ้าง ตามมาดูไปพร้อมกันได้เลย 

ความหมายของการมีสุขภาพจิตที่ดี คือ

ความหมายของการมีสุขภาพจิตที่ดี

สุขภาพจิตที่ดี คือ การที่สุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิตใจที่เป็นสุข มีความรู้สึกดีต่อตนเอง มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้อื่น สามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้ สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข ไม่ว่าจะวัยเด็ก วัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ การมีสุขภาพจิตที่ดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

ปัญหาสุขภาพจิตมีอะไรบ้าง

ปัญหาสุขภาพจิตคืออะไร มีอะไรบ้าง?

ปัญหาสุขภาพจิต คือ ปัญหาที่เกิดจากความไม่มั่นคงทางจิตใจ โดยมีสาเหตุจากความคิด อารมณ์ สารเคมีในสมอง รวมถึงสภาพแวดล้อมที่อาจส่งผลต่อสภาพอารมณ์ สภาพจิตใจ การแสดงออกของพฤติกรรมต่างๆ ตลอดจนปัญหาสุขภาพจิตที่เกี่ยวข้อง เช่น ภาวะวิตกกังวล ซึมเศร้า หมดไฟ ซึ่งปัญหาสุขภาพถือเป็นปัญหาที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ และต้องร่วมกันแก้ไข เพื่อให้ทุกคนมีสุขภาพจิตที่ดี และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข

ลักษณะ อาการ ข้อสังเกตของผู้มีปัญหาสุขภาพจิต

ข้อสังเกตผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต

ปัญหาสุขภาพจิตในแต่ละบุคคลมีอาการที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่แตกต่างกัน โดยสามารถทำ แบบทดสอบภาวะซึมเศร้า เพื่อตรวจสภาพจิตใจเบื้องต้นก่อนได้ เนื่องจากเป็นแบบประเมินตนเองที่พัฒนาจาก แบบสอบถามสุขภาพผู้ป่วย (Patient Health Questionnaire: PHQ-9) ส่วนขั้นตอนการประเมินทางการแพทย์ ตลอดจนการรักษา ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต หรือคิดว่าต้องการผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยเหลือ อาจต้องเข้าพบแพทย์เพื่อยืนยันอาการที่แน่นอน หรือหากอยากขอคำปรึกษาสุขภาพจิตขั้นต้น ก็สามารถติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าง สายด่วนกรมสุขภาพจิต เพื่อขอคำปรึกษาด้านสุขภาพจิตเพิ่มเติมได้ โดยทั่วไปแล้ว หากอยากทราบว่ามีปัญหาด้านสุขภาพจิตหรือไม่ อาจลองสังเกตได้จาก 3 อาการ ดังนี้

  • อาการทางด้านร่างกาย

อาการทางด้านกาย คือ การเจ็บป่วยทางกาย หรือเกิดจากปัญหาสุขภาพจิตไม่ดี เช่น ความวิตกกังวล ความเครียด และอาการซึมเศร้า ส่งผลให้ร่างกายทำงานผิดปกติ เช่น นอนไม่หลับ ใจสั่น ปวดศีรษะ เหนื่อยล้า ท้องเสีย หรืออ่อนเพลียจนไม่มีแรง ทำให้กระทบต่อการใช้ชีวิตในประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน หรือการใช้ชีวิต

  • อาการทางด้านอารมณ์ และพฤติกรรม

อาการทางด้านอารมณ์ และพฤติกรรม คือ อาการเจ็บป่วยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม หรือสภาวะอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนกระทบสุขภาพจิต เช่น เครียด เศร้า พูดน้อยลง อ่อนไหว ฟุ้งซ่าน ซึ่งเป็นอาการที่อาจเป็นสัญญาณว่ามีสุขภาพจิตไม่ดี และอาจทำให้เกิดเป็นโรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล หรือโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตใจได้

  • อาการทางจิตใจ

อาการทางจิตใจ คือ สภาวะการปรับตัวไม่ทันจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม หรืออาจเกิดจากเหตุการณ์ และประสบการณ์ในอดีต ทำให้ส่งผลต่อสภาวะจิตใจ ความคิด หรือการตัดสินใจ เพราะบางคนมีภาวะเครียดง่าย หรือเครียดยากแตกต่างกันออกไป เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็มีวิธีรับมือที่แตกต่างกัน จนนำไปสู่การมีสุขภาพจิตที่ไม่ดี และมักมีความเครียด กังวล ซึมเศร้า หรืออารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่น การเรียน การทำงาน และการเข้าสังคมได้เช่นกัน

สาเหตุปัญหาสุขภาพจิต สุขภาพจิตเกิดจากอะไร

ปัญหาสุขภาพจิตไม่ดีเกิดจากอะไร?

ปัญหาสุขภาพจิตมีปัจจัย หรือสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป โดยสามารถแบ่งปัญหาของสุขภาพจิตไม่ดี ออกเป็น 4 ปัจจัยได้ ดังนี้ 

  • ปัจจัยทางด้านร่างกาย

ปัจจัยทางด้านร่างกาย อาจเกิดได้จากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมเช่นเดียวกับโรคต่างๆ อย่างโรคความดันโลหิต โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง เป็นต้น รวมถึงความพิการ และความเครียดที่เกิดจากการทำงานหนักที่ใครหลายคนมักเป็นกัน ปัจจัยเหล่านี้นอกจากส่งผลต่อสุขภาพร่างกายแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพจิตใจ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพจิตไม่ดีได้

  • ปัจจัยด้านจิตใจ

ตามทฤษฎีของมาสโลว์ ในเรื่องความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ มีด้วยกัน 5 หลัก คือ

  1. ความต้องการด้านร่างกาย เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค 
  2. ความมั่นคงปลอดภัยในเรื่องการใช้ชีวิต
  3. ความมีชื่อเสียง และการเป็นที่รู้จักของคนในสังคม
  4. ความต้องการความรักจากคนรอบกาย เช่น ครอบครัว เพื่อน
  5. ความประสบความสำเร็จในหน้าที่ การงาน

อย่างไรก็ตาม ความต้องการพื้นฐานเหล่านี้ อาจไม่ได้สมหวังกันทุกคน และเมื่อไม่สมหวัง ก็ทำให้เกิดเป็นความไม่สบายใจ เกิดความทุกข์ทั้งด้านร่างกายไปจนถึงด้านจิตใจ ส่งผลให้กลายเป็นปัญหาสุขภาพจิตไม่ดีได้ เช่น ภาวะซึมเศร้า นอนไม่หลับ วิตกกังวล ไม่มีความสุข เป็นต้น

  • ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม

ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม คือ สภาวะสิ่งแวดล้อม หรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรือการเกิดสิ่งต่างๆ ที่อาจทำให้คนเรารับมือไม่ทัน เช่น ภัยพิบัติทางธรรมชาติ น้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุ หรือแม้แต่ปัญหาทางการเมือง เศรษฐกิจ และการศึกษา เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลทำให้เกิดสุขภาพจิตไม่ดีตามมา

  • ปัจจัยด้านความสามารถในการปรับตัว

ปัจจัยด้านความสามารถในการปรับตัว คือ การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมต่างๆ เช่น การเรียนที่ต้องปรับตัวกับเพื่อน การทำงานที่ต้องปรับตัวกับสังคมการทำงาน ในทุกสังคมมีวัฒนธรรมองค์กรที่ต่างกัน ทำให้ต้องใช้เวลาในการปรับตัว เมื่อไม่สามารถปรับตัวไม่ได้ หรือเกิดปัญหาขัดแย้งกัน ก็อาจส่งผลต่อสภาพอารมณ์ และปัญหาสุขภาพจิตไม่ดีเช่นกัน ซึ่งปัจจัยด้านความสามารถในการปรับตัวนี้ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งวัยเด็ก วัยรุ่น และวัยผู้ใหญ่

ผลกระทบของปัญหาสุขภาพจิต สุขภาพจิตไม่ดีกระทบชีวิตครอบครัว และสังคม

สุขภาพจิตไม่ดี ส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง?

ปัญหาสุขภาพจิตส่งผลกระทบหลายด้านทั้งระดับตัวบุคคล ไปจนถึงระดับสังคม ปัญหาเหล่านี้มาจากการสะสมอารมณ์ และความเครียด จนกลายเป็นสุขภาพจิตไม่ดีที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย และจิตใจในหลายๆ ด้าน

  • ผลกระทบในระดับตัวบุคคล

ปัญหาสุขภาพจิตไม่ดี ส่งผลเสียตั้งแต่ระดับตัวบุคคล เช่น คนมีปัญหาสุขภาพจิต ส่งผลให้เกิดความเครียด ขาดสมาธิ ความคิดเปลี่ยนแปลงตามอารมณ์ ทำให้เกิดปัญหาตามมา เช่น โรคซึมเศร้า ความวิตกกังวล และการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เช่น ปวดศีรษะ เบื่อหน่าย น้ำหนักลดลง หรืออาการเหนื่อย อ่อนเพลีย และไม่มีแรง

  • ผลกระทบในระดับสังคม

ปัญหาสุขภาพจิตไม่ดีในระดับสังคม เกิดจากระดับตัวบุคคลในปริมาณมากจนกระจายไปสู่ระดับสังคม ส่งผลตั้งแต่นักเรียน นักศึกษา โดยกระทบต่อความสามารถในการเรียนรู้ เช่น เกิดความกดดัน ความเครียดสะสม การขาดสมาธิ ซึ่งทำให้ไม่สามารถรับมือกับปัญหา หรือการเปลี่ยนแปลงได้ดีเท่าที่ควร ในวัยทำงานก็อาจกระทบในเรื่องของความสัมพันธ์ การไม่พอใจในตนเอง อาการหมดไฟ ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ทำให้องค์กร หรือหน่วยงานไม่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มที่ รวมถึงผู้สูงอายุเองก็มีอาการ ซึม นอนไม่หลับ และอารมณ์ที่แปรปรวน ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา ส่งผลให้เกิดปัญหาในการดูแล และรับมือจากทางครอบครัว ผู้ดูแล หรือหน่วยงานสาธารณะสุขที่เพิ่มมากขึ้น

ปัญหาสุขภาพจิตในสังคมไทย

สถิติของผู้ป่วยสุขภาพจิตในสังคมไทย

สถิติของผู้ป่วยสุขภาพจิตในสังคมไทย โดยงานวิจัยจาก Mintel กล่าวว่า สุขภาพจิตของคนไทยต่างประสบปัญหา เช่น ความเครียด (46%) นอนไม่หลับ (32%) วิตกกังวล (28%) รวมถึงการทำงาน และการเรียน (48%) โดยเฉพาะ Gen Z ช่วงอายุระหว่าง 18-24 ปี ที่มักมีความกดดันจากความสำเร็จ หรือความสมบูรณ์แบบที่พบเห็นได้ในโซเชียลมีเดีย ทำให้ชาวไทยที่มีอายุน้อย มักมีปัญหาด้านสุขภาพจิตไม่ดี เช่น อาการซึมเศร้า รู้สึกไม่พอใจในตนเอง และความวิตกกังวล เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้หญิงไทยอายุ 18-34 ปี เกือบ 1 ใน 3 (31%) ต้องสร้างความมั่นคงในหน้าที่การงาน การเงิน และความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต เมื่อเทียบผู้ชายในวัยเดียวกัน (17%) จึงส่งผลให้ผู้หญิงมีอาการหมดไฟได้ง่ายกว่า

นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า คนเมืองมีแนวโน้มมีปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าคนชนบท เนื่องจากการทำงานที่กดดัน มีการแข่งขัน และค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้ต้องรับภาระต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ทำให้สุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิตไม่ดีตามไปด้วย ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มของผู้หญิงที่มีปัญหาสุขภาพจิตมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากภาระต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน

แก้ปัญหาสุขภาพจิตย่ำแย่

แนวทางการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต

แนวทางการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต สามารถเริ่มต้นได้ที่ตัวเองง่ายๆ ที่ผู้อ่านสามารถลองทำตามได้ เพื่อการมีสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี

1. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ส่งผลดีต่อสุขภาพกาย และช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีได้ โดยมีแนวทางปฏิบัติง่ายๆ ดังนี้

  • การออกกำลังกาย เวลาที่ออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอนโดรฟิน หรือสารแห่งความสุขที่ช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลาย ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น จึงควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพร่างกาย และสุขภาพจิตที่ดี
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ควรให้ร่างกายได้พักผ่อนได้เต็มที่ อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เนื่องจากหากพักผ่อนไม่เพียงพอติดต่อกันเป็นเวลานาน จะส่งผลต่ออารมณ์โดยตรง เช่น หงุดหงิดง่าย ไม่มีสมาธิ อ่อนเพลีย จนอาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าได้
  • ผ่อนคลายความเครียด ในแต่ละวันควรมีเวลาอย่างน้อยสัก 30 นาที เพื่อให้ร่างกาย และจิตใจได้ผ่อนคลาย โดยอาจลองทำ Social Detox หางานอดิเรก หรือกิจกรรมที่ทำแล้วมีความสุขทำ เช่น การดูหนัง ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือเดินเล่นกับสัตว์เลี้ยง
  • ลองฝึกสมาธิ การฝึกสมาธิจะทำให้เราอยู่กับปัจจุบันมากขึ้น พร้อมทั้งช่วยจัดระเบียบความคิด และอารมณ์ ไม่ให้ฟุ้งซ่านมากเกินไป อีกทั้งช่วยให้เรารู้ทันอารมณ์ของตัวเองได้มากขึ้น โดยสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การนั่งสมาธิ การกำหนดลมหายใจเข้า-ออก การฝึกฟังเสียง หรือมองสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เพื่อให้ตัวเองอยู่กับปัจจุบัน ช่วยให้ไม่คิดฟุ้งซ่านถึงอดีต หรืออนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น
  • ไม่ควรเก็บปัญหาไว้คนเดียว หากเกิดปัญหา และเกินกำลังจะแก้ไข ก็ควรปรึกษาครอบครัว หรือคนรอบข้าง เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ถ้าไม่อยากเล่าให้คนรอบข้างฟัง ก็สามารถเลือกพูดคุยกับจิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำปรึกษาได้เช่นกัน

2. การสร้างพลังงานบวกให้กับตัวเอง

การสร้างพลังบวกให้กับตัวเองเป็นสิ่งดี เพราะส่งผลต่อความคิดตัวเราเองเป็นอย่างมาก เมื่อเรามีพลังบวกที่ดี ก็จะทำให้มีสุขภาพจิตที่ดีได้ โดยสามารถฝึกได้ด้วยตัวเอง ดังนี้

  • การมองโลกในแง่ดี เป็นการสร้างพลังบวกในการใช้ชีวิต เพื่อให้พร้อมรับมือกับสิ่งต่างๆ ต่อไปได้ ในทางกลับกันหากเรามองโลกในแง่ร้ายจนเกินไป ก็อาจส่งผลต่ออารมณ์ให้มีแต่ด้านลบ
  • ปล่อยวางเรื่องในอดีต และใส่ใจกับปัจจุบัน เรื่องในอดีตก็มีทั้งดี และไม่ดี หากยังยึดติดกับเรื่องในอดีต ก็มีแต่จะทำให้เกิดความคิดฟุ้งซ่าน อารมณ์ติดลบ จึงควรปล่อยวางอดีต และใส่ใจกับปัจจุบัน คนรอบข้าง สิ่งรอบตัว และโฟกัสกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
  • สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนสนิท โดยการใช้เวลาอยู่ด้วยกัน ทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
  • แบ่งปันให้กับผู้อื่น เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ โดยการแบ่งปันสิ่งดีๆ อาจเริ่มจากสิ่งเล็กๆ เช่น คำพูด การให้กำลังใจ หรือการช่วยเหลือผู้อื่นที่สร้างความรู้สึกดีกับตัวเองในการแบ่งปันครั้งนี้
  • อย่าลืมที่จะตั้งเป้าหมายในชีวิต การใช้ชีวิตแบบไม่มีจุดมุ่งหมาย ก็อาจทำให้เกิดความเครียด ส่งผลให้สุขภาพจิตไม่ดี แต่หากเริ่มตั้งเป้าหมาย และมีเป้าหมายในชีวิต ก็จะทำให้ชีวิตมีกำลังใจ และพลังใจ เพื่อให้เกิดความอยากทำในสิ่งที่คาดหวังเอาไว้ให้สำเร็จ

นโยบางและแนวทางการแกไขป้องกันปัญหาสุขภาพจิต ในประเทศไทย

นโยบายเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิต

นโยบายเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตในประเทศไทย ปัจจุบันมีรัฐบาล กรมสุขภาพจิต และกระทรวงสาธารณสุขที่มีหน่วยงานในการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต เช่น หน่วยบริการสาธารณสุข โรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป และสถาบันจิตเวชที่มีบุคลากรด้านสุขภาพจิต เช่น จิตแพทย์ นักสังคมสงเคราะห์ และนักกิจกรรมบำบัด คอยให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต คอยช่วยเหลือ และดูแลรักษาผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงการมีระบบเพื่อนผู้เชี่ยวชาญ โดยให้ผู้มีประสบการณ์ตรง จากการอบรมขั้นพื้นฐานการดูแลสุขภาพจิต มาถ่ายทอดประสบการณ์ และให้ความรู้ที่ได้รับจากการอบรม เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังมีภาคประชาสังคม ภาคเอกชน หน่วยงาน หรือองค์กรอิสระที่ไม่แสวงหาผลกำไรมากมาย เข้ามาให้ความช่วยเหลือ หรือจัดกิจกรรมสาธารณประโยชน์ และเพื่อความเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้นในสังคม

แนวทางส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี

ทุกคนสามารถมีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต เพื่อให้ทุกคนได้รับการดูแลสุขภาพจิตให้ถูกต้อง ได้ด้วยวิธีการดังนี้

การประชาสัมพันธ์

การประชาสัมพันธ์ เป็นวิธีการที่ช่วยให้ข้อมูลความรู้เบื้องต้น เกี่ยวกับปัญหาเรื่องของสุขภาพจิตที่ดีว่าควรเป็นอย่างไร วิธีการรับมือ พร้อมทั้งวิธีดูแลสุขภาพจิต ซึ่งสามารถประชาสัมพันธ์ผ่านองค์กรต่างๆ เช่น สายด่วนสุขภาพจิต โรงพยาบาล คลินิก  และสื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความตระหนักได้ดีมากยิ่งขึ้น

การสังเกตตัวเอง และคนใกล้ตัว

หลายครั้งคนเรามักแสดงอาการ หรือการกระทำบางอย่างที่ผิดแปลกไป ซึ่งกว่าจะรู้สึกตัว หรือนึกขึ้นได้ก็อาจสายเกินแก้ ดังนั้น การที่เราสังเกตตัวเอง และคนรอบข้างเป็นประจำ  ไม่ว่าสุขภาพร่างกาย หรือสุขภาพจิต จึงสำคัญมาก เพราะจะช่วยให้รับมือกับปัญหาได้อย่างเหมาะสม และดูแลรักษาสุขภาพจิตได้ทันท่วงที

การสนับสนุนให้กับองค์กร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

การสนับสนุนให้กับองค์กร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถือว่ามีความสำคัญในการช่วยพัฒนา และส่งเสริมให้องค์กรต่างๆ สามารถทำเพื่อสังคมต่อไปได้ โดยการสนับสนุนสามารถทำได้หลายวิธี เช่น บริจาคเป็นเงิน หรือสิ่งของ การช่วยประชาสัมพันธ์โครงการ และการเป็นจิตอาสา เป็นต้น ซึ่งการสนับสนุนเหล่านี้จะช่วยให้บุคคลอื่นๆ สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือได้มากขึ้น เช่น การเข้าปรึกษาปัญหาสุขภาพจิตเบื้องต้นโดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือการจัดกิจกรรมที่สร้างสรรค์ และส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีกับคนในสังคมได้ นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงาน และองค์กรที่เปิดรับบริจาค เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาสุขภาพจิตในประเทศไทย ได้แก่

  • กำแพงพักใจ แพลตฟอร์มสำหรับนักศึกษาในประเทศไทย เพื่อเข้ารับคำปรึกษาสุขภาพจิต ผ่านวิดีโอคอลโดยจิตแพทย์ และนักจิตวิทยา ซึ่งในองค์กรเองก็มีการเปิดรับสมัครอาสาโครงการ รวมถึงการช่วยสมทบทุนโครงการอีกด้วย
  • สถาบันสุขภาพจิตเด็ก และวัยรุ่นราชนครินทร์ คลินิกสุขภาพจิตสำหรับเด็ก และวัยรุ่น ตั้งแต่อายุ 2-18 ปี โดยเป็นคลินิกที่ตรวจรักษา และให้คำปรึกษากับผู้ปกครอง เกี่ยวกับพฤติกรรมต่างๆ และสามารถโทรปรึกษาได้ฟรีผ่านสายด่วนสุขภาพจิต นอกจากนี้ ทางงค์กรยังมีการเปิดรับบริจาคให้คนที่สนใจเข้าร่วมสมทบทุนได้
  • มูลนิธิโรงพยาบาลศรีธัญญา เป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่ให้ความช่วยเหลือผู้ป่วยด้านจิตเวชฐานะยากจน ที่เข้ามารับบริการที่โรงพยาบาล รวมถึงสนับสนุนเครือข่ายชุมชนเรื่องการดูแล และมีกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วย โดยทางมูลนิธิเองก็ยังเปิดรับสมทบทุน รวมถึงการบริจาคสิ่งอุปโภค และบริโภคอีกด้วย
  • มูลนิธิสุขภาพจิตโรงพยาบาลสวนปรุง คือ มูลนิธิเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ไม่มีญาติ ไม่มีค่ารักษาพยาบาล โดยช่วยเหลือให้ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทางมูลนิธิเองก็มีการเปิดให้สมทบทุน เพื่อช่วยเหลือค่ารักษา รวมถึงนำไปสนับสนุนการทำกิจกรรมร่วมกันในชุมชน 

สรุป

การมีสุขภาพจิตที่ดีมีความสำคัญ เนื่องจากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตใจไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จนนำไปสู่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจิตได้ ทุกคนจึงควรให้ความสำคัญ เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงคนใกล้ชิดได้รับการดูแลสุขภาพจิตได้อย่างเหมาะสม และเมื่อได้รับการรักษาสุขภาพจิตใจอย่างเหมาะสมแล้ว ก็จะทำให้มีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ และทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น โดยการช่วยแก้ไขปัญหาสุขภาพจิต ทุกคนสามารถทำได้ด้วยการสังเกตตัวเอง และคนรอบข้าง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และสร้างพลังบวก รวมถึงสามารถช่วยร่วมส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีได้ด้วยการบริจาคให้แก่องค์กร หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ทำได้เช่นกัน

 

References

  1. ทิพวรรณ เมืองใจ. สุขภาพจิตที่เปลี่ยนไป กับสังคมที่เปลี่ยนแปลง. tci-thaijo.org. Published 20 November 2018. Retrieved July 27 2023.
  2. วิลาสินี ศิริบูรณ์พิพัฒนา. Attitudes towards Mental Health – Thai Consumer – 2022. Store.mintel.com. Retrieved July 27 2023.

องค์กรเพื่อสังคมที่เกี่ยวข้อง

banner - psycholism
logo - psycholism

Psycholism

พื้นที่สำหรับนักสำรวจความคิด จิตใจ พฤติกรรม และปรากฏการณ์ทางสังคมผ่านมุมมองเชิงจิตวิทยา เราสร้างความตระหนักและความเข้าใจด้วยการจัดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์และส่งเสริมความรู้
logo - ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศไทย

ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นแห่งประเทศ

สื่อกลาง เผยแพร่ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูและปรับพฤติกรรมเด็กอย่างเหมาะสมตามวัย เเละสร้างทัศนคติที่ดีในการปรึกษาปัญหาการเลี้ยงดูและพฤติกรรมเด็กกับจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น

banner - wall of sharing
logo - wall of sharing

Wall of Sharing

แพลตฟอร์มที่ให้นิสิต นักศึกษาในประเทศไทย เข้ารับบริการด้านสุขภาพจิตผ่านวีดีโอคอลโดยจิตแพทย์และนักจิตวิทยา โดยความร่วมมือของสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต