เข้าสู่ระบบ

Table of Contents
Recent Post
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จัก ปัญหาทางเท้าที่คนไทยต้องเจอ ทั้งฟุตบาทไม่ทนทาน รถจักรยานยนต์ ร้านค้าบนทางเท้า การออกแบบที่ไม่คิดถึงผู้พิการและผู้สูงอายุ มาสร้างทางเท้าให้ดี เพื่อชีวิตที่ดีกัน!

ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข
ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักปัญหาว่างงานในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจส่งผลกระทบในวงกว้าง ควรมีทางออกเพื่อเสริมพลังและสร้างโอกาสใหม่ให้คนไทยกลับมายืนหยัดและมีชีวิตที่ดีได้อย่างเข้มแข็ง

Key Takeaway นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คือโครงการจากรัฐบาลที่กำหนดให้ประชาชนเดินทางในเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการได้ในราคาเดียวเพียง 20 บาทตลอดสาย เป้าหมายของโครงการคือสร้างความเท่าเทียม ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสให้คนเมืองทุกกลุ่มเข้าถึงการเดินทางอย่างสะดวก ลดปัญหารถติดและมลพิษ ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาชุมชนเมือง โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของรัฐบาล กรุงเทพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการผลักดันจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่มีวิสัยทัศน์ด้านระบบขนส่งมวลชน เชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้าในราคาคงที่ ช่วยให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ความท้าทายของนโยบายนี้ คือความยั่งยืนทางการเงิน ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลชดเชยผู้ประกอบการ และปัญหาการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า ทุกวันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าทีก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เพราะค่าโดยสารที่สะสมไปแต่ละวันไม่ใช่น้อยๆ เลย แต่ลองคิดดูว่า… ถ้าเราเดินทางไกลแค่ไหนก็จ่ายเพียง 20 บาท จะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากขนาดไหน? ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ! บทความนี้พามาเจาะลึกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน เรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งพนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือแม่ค้าพ่อค้า ที่ต้องใช้รถไฟฟ้าเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางทุกวันแน่นอน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คืออะไร? โครงการค่าโดยสาร 20 บาท คือความตั้งใจง่ายๆ ที่อยากให้การเดินทางสาธารณะเป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน พนักงาน หรือผู้สูงอายุ เรื่องนี้เริ่มต้นจากคำถามว่า “ทำไมคนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงหลายระดับ บางทีแค่ไปทำงานหรือไปเรียนใกล้ๆ ก็ต้องจ่ายราคาเต็ม?” แนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวจึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยลดภาระและทำให้ทุกคนได้รับสิทธิ์เดินทางในราคาเท่ากัน ในปี 2567 ได้เริ่มทำโครงการนำร่องในสายสีแดงและสายสีม่วงแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากเลย ส่วนเรื่องการหาเงินมาจ่ายนั้น รัฐบาลไม่ได้แค่รับภาระทั้งหมดเอง แต่มีการแบ่งงบและจัดสรรเงินมาใช้ชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ให้บริการยังสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ขาดทุน กลไกนี้ช่วยให้ความมั่นคงในการเดินรถยังดำเนินไปได้ โดยรัฐจะพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการจริงและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนเป็นธรรมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจว่าจะทำให้คมนาคมสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเดินทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวที่คนทุกวัยทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ทำไมนโยบายนี้ถึงสำคัญกับคนเมือง? ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทุกวัน การเดินทางในเมืองใหญ่จึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน การมีนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองและหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาได้จริง ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายวันได้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนและคนที่ต้องเดินทางประจำ การกำหนดราคาเดียวช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทางไกล เพิ่มโอกาสในการเดินทางและใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายยังช่วยกระตุ้นให้เกิดชุมชนและธุรกิจใหม่ในเขตชานเมือง เพิ่มความสะดวกและคุณภาพชีวิตในเมืองอย่างยั่งยืน ลดปัญหารถติดและมลพิษ นโยบายนี้ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เมื่อประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ปริมาณรถติดก็ลดลงตามไปด้วย ช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การใช้รถไฟฟ้ายังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ที่สำคัญคือทำให้เมืองน่าอยู่ สะอาด และเดินทางได้คล่องตัวมากขึ้นสำหรับทุกคน สร้างเมืองที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน นโยบายนี้ไม่ได้แค่ทำให้ค่าโดยสารถูกลงเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย นักเรียน หรือผู้สูงอายุ ช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมและเป็นธรรม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทาง และทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นคนทุกกลุ่ม เป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของคนในเมืองใหญ่ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน พร้อมส่งเสริมให้คนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น สร้างความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว ความเท่าเทียมในการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเดินทาง เพราะไม่ว่าคนจะขึ้นรถไฟฟ้ากี่สายหรือต้องเดินทางไกลเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็จ่ายค่าโดยสารราคาเดียว ทำให้ทุกคนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือรัฐบาลช่วยชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ เพื่อรักษาคุณภาพบริการและทำให้นโยบายนี้ดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ นโยบายนี้ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพราะราคาค่าโดยสารที่ถูกลงทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่าย ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลยังร่วมมือกับกรุงเทพฯ ในการพัฒนาระบบตั๋วร่วมและฟีดเดอร์ระบบขนส่ง เช่น รถเมล์ที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการใช้งานระบบได้ครบวงจรขึ้น แก้ปัญหารถติด นโยบายนี้เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้ เมื่อค่าโดยสารถูกลง ผู้คนจะหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่วิ่งบนถนนในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร ยังช่วยลดเวลาการเดินทางและความเครียดของผู้ใช้ถนนด้วย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบขนส่งของเมือง ทำให้การเดินทางสะดวกและราบรื่นขึ้นโดยรวมในระยะยาว เชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมือง นโยบายนี้เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจและชุมชนเมืองเติบโตเป็นระบบ การลดค่าเดินทางช่วยเพิ่มกำลังซื้อและโอกาสทางธุรกิจในชุมชนต่างๆ เนื่องจากผู้คนสามารถเดินทางเข้า - ออกเมืองได้สะดวกและบ่อยขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าหลายสายยังช่วยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้ารวดเร็ว ทำให้ชุมชนต่างๆ มีโอกาสพัฒนาไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เบื้องหลังการผลักดันนโยบาย โครงการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพฯ พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่วางแนวนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ในขณะที่กรุงเทพฯ นำโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผลักดันให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น นโยบายรถไฟฟ้ากับชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นหัวใจของชีวิตคนเมือง ร่วมกับการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและมลพิษ พร้อมผลักดันให้โครงการได้ผลจริงในเชิงปฏิบัติ เช่น การเชื่อมโยงเส้นทางและเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคสังคมมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามผล ทำให้นโยบายนี้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองจริงๆ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท… ความท้าทายและคำถามที่ยังคงอยู่ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แม้จะได้รับการตอบรับอย่างดีและช่วยลดภาระค่าโดยสารของประชาชน แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนทางการเงินหลักๆ เพราะรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ แต่จากการศึกษาพบว่า… ต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายหลักอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อเที่ยว ทำให้นโยบายนี้เป็นไปได้ถ้าบริหารจัดการดีและมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่มั่นคง เช่น การใช้รายได้ภาษีจากภาคขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า โดยเฉพาะสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้และผลประโยชน์ของภาคเอกชน ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนและการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล ปัญหานี้ยังเป็นอุปสรรคที่ต้องเจรจาและหาข้อตกลงร่วมที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทางเลือกและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนานโยบายในอนาคต ได้แก่ การผลักดันกฎหมายตั๋วร่วมเพื่อให้ใช้บริการได้ด้วยบัตรเดียวทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทให้เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความมั่นคงและเข้าถึงได้ง่ายในระยะยาว สรุป นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคนเมือง ทำให้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ช่วยเชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมแก้ไขปัญหารถติดและมลพิษ เพิ่มคุณภาพชีวิตคนเมืองอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกรุงเทพฯ และภาคประชาสังคม ซึ่งบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมและติดตามนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง FAQ – คำถามที่พบบ่อย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทครอบคลุมทุกสายไหม? โครงการนี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) สายสีน้ำเงิน (MRT) สายสีเหลือง สายสีชมพู และ Airport Rail Link (ARL) รวมรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงที่ทำไปแล้วทั้งหมด 8 สาย รวม 13 เส้นทางและกว่า 194 สถานีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางในราคาคงที่เพียง 20 บาทตลอดสาย แม้ต้องเปลี่ยนสายก็จะไม่เกินราคานี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งผลต่อปัญหารถติดในกรุงเทพฯ อย่างไร? นโยบายนี้ช่วยลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เพราะราคาค่าโดยสารถูกลง คุณภาพชีวิตและการเดินทางจึงดีขึ้น ลดความหนาแน่นของการจราจรในช่วงเร่งด่วนได้ ประชาชนมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายนี้ได้อย่างไร? ประชาชนสามารถร่วมลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ และใช้บัตร EMV Contactless หรือบัตร Rabbit แบบ ABT เพื่อยืนยันตัวตน ร่วมกันใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการของระบบขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้นต่อไป
อนาคตเข้าถึงได้! นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท โครงการเปลี่ยนชีวิตคนเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามาเจาะลึกกับนโยบายรถไฟฟ้า20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน

ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน
ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักจากเสียงประชาชนสู่การแก้ไขจริง! Traffy Fondue คือระบบร้องเรียนของ กทม. นำเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวกรุงให้ดีขึ้น

การเรียนรู้นอกห้องเรียน ส่งเสริมการศึกษาพัฒนาคนรุ่นใหม่

CHEEWID พาทุกคนทำความเข้าใจกับความรู้นอกห้องเรียน เป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ ประสบการณ์ชีวิต ความคิด และทักษะการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น โดยทุกคนสนับสนุนได้ด้วยการระดมทุน หรือบริจาคให้องค์กรได้
การเรียนรู้นอกห้องเรียน ส่งเสริมการศึกษา และพัฒนาคนรุ่นใหม่
Table of Contents

ความรู้นอกห้องเรียน เป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ ประสบการณ์ชีวิต ความคิด และทักษะการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับการเรียนรู้จากประสบการณ์ การเปิดรับมุมมองที่หลากหลาย และการพัฒนาทักษะการปฏิบัติต่างๆ ที่ให้ทุกคนสามารถทำกิจกรรมนอกห้องเรียนได้หลายรูปแบบ ในบทความนี้จะพาไปดูว่าการเรียนรู้นอกห้องเรียนคืออะไร น่าสนับสนุนอย่างไร มีอะไรที่น่าสนใจ และทำที่ไหนได้บ้าง

 

การเรียนรู้นอกห้องเรียน คืออะไร

การเรียนรู้นอกห้องเรียน คืออะไร

การเรียนรู้นอกห้องเรียน หมายถึง ประสบการณ์ทางการศึกษาที่เกิดขึ้นนอกขอบเขตเดิมของอาคารเรียนและหลักสูตรที่มีโครงสร้าง ประสบการณ์เหล่านี้มักมีลักษณะเฉพาะจากการลงมือปฏิบัติจริงและเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ในสภาพแวดล้อมจริง โดยระบบการศึกษาไทยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน ดังนี้

  • การศึกษาในระบบ : การศึกษาที่มีโครงสร้างเป็นระบบ โดยเป็นไปตามหลักสูตรที่กำหนด มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ ทักษะ และคุณวุฒิที่จำเป็นสำหรับวิชาชีพ
  • การศึกษานอกระบบ : เป็นการศึกษาที่ครอบคลุมโอกาสการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนอกระบบการศึกษา แต่ยังคงเป็นไปตามโปรแกรมที่มีโครงสร้าง มีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของบุคคลที่อาจไม่สามารถเข้าถึงหรือได้รับประโยชน์จากการศึกษาในระบบ
  • การศึกษาตามอัธยาศัย : การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นผ่านประสบการณ์ชีวิตประจำวัน ปฏิสัมพันธ์ และกิจกรรมต่างๆ ไม่ได้ถูกวางโครงสร้างหรือจัดระเบียบโดยสถาบัน มีบทบาทสำคัญในการเสริมการศึกษาในระบบ ช่วยให้บุคคลได้รับทักษะใหม่ๆ

การเรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นหนึ่งในการศึกษาทางเลือกยุคใหม่ที่ระบบการศึกษาไทยสนับสนุน เช่นเดียวกับการศึกษาของหลายๆ ประเทศที่เลือกใช้ระบบนี้ การเรียนรู้นอกห้องเรียนมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม แรงจูงใจ ประสบการณ์ พัฒนาทักษะ ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ การเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ช่วยเสริมประสิทธิภาพการสอน สภาพแวดล้อมของการเรียนต้องมีความปลอดภัยเป็นหลัก สามารถยืดหยุ่นได้ เพื่อให้เกิดการปรับตัวของนักเรียน จะได้เกิดการโต้ตอบและซักถาม เพื่อให้การสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การเรียนรู้นอกห้องเรียน กับการเรียนแบบปกติต่างกันอย่างไร

การเรียนรู้นอกห้องเรียน หรือที่เรียกกันว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ แตกต่างจากการเรียนรู้ในห้องเรียนแบบดั้งเดิมในหลายๆ ด้าน โดยความรู้นอกห้องเรียนจะเน้นความรู้ในโลกแห่งความเป็นจริงมากกว่าความรู้เชิงวิชาการภายในห้องเรียน มักมีการลงมือปฏิบัติจริงมากกว่าการเรียนรู้ผ่านการสอนบรรยาย หรืออธิบายเพียงอย่างเดียว มีการออกไปเรียนนอกห้องเรียน มีการจัดกิจกรรมที่กระตุ้นผู้เรียนให้พยายามสังเกต สอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน ตารางการเรียนมีความยืดหยุ่นมากกว่าการเรียนแบบปกติ มีเป้าหมายที่ชัดเจน และมีการประเมินผลอย่างเป็นระบบ

ประเภทของแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน

ประเภทของแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน

แหล่งเรียนรู้คือ แหล่งข้อมูล เนื้อหา ความรู้ที่มีประโยชน์ต่อผู้เรียน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้นอกห้องเรียนโดยสามารถนำไปต่อยอดเพื่อสั่งสมประสบการณ์ และพัฒนาความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน แบ่งได้ 4 ประเภท ดังนี้

1. แหล่งเรียนรู้ตามธรรมชาติ

การเรียนรู้นอกห้องเรียนประเภทนี้เกี่ยวข้องกับการได้รับความรู้ และทักษะจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อาจรวมถึงกิจกรรมต่างๆ เช่น การเดินป่า ตั้งแคมป์ ทำสวน หรือเพียงสังเกตปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น รูปแบบสภาพอากาศ พฤติกรรมของสัตว์ และการเจริญเติบโตของพืช การเรียนรู้จากธรรมชาติส่งเสริมการสำรวจ ความอยากรู้อยากเห็น และประสบการณ์ตรง เหมาะสำหรับกิจกรรมที่ส่งเสริมความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม การสอบถามทางวิทยาศาสตร์ และการศึกษากลางแจ้ง

2. แหล่งเรียนรู้ที่สร้างขึ้นในสถานศึกษา และนอกสถานศึกษา

หมายรวมถึงวิชานอกห้องเรียน และในห้องเรียนที่จัดไว้ให้ภายในสถาบันการศึกษาตลอดจนนอกสถานศึกษาที่เป็นทางการ ครอบคลุมกิจกรรมต่างๆ เช่น ชมรม ทีมกีฬา เวิร์กชอป ทัศนศึกษา และกิจกรรมให้ความรู้ที่โรงเรียนจัดขึ้น กิจกรรมเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมการเรียนรู้ในชั้นเรียน ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ทางสังคม พัฒนาทักษะการปฏิบัติ และส่งเสริมความสนใจส่วนบุคคล การเรียนรู้นอกห้องเรียน ทั้งนี้ในสถานศึกษานี้เหมาะสำหรับกิจกรรมที่หลากหลายซึ่งปรับให้เหมาะกับความสนใจ และวัตถุประสงค์การเรียนรู้ของนักเรียน

3. แหล่งเรียนรู้ในชุมชน

แหล่งเรียนรู้ในชุมชนเป็นการเรียนนอกห้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการได้รับความรู้ และทักษะผ่านการมีส่วนร่วมกับชุมชนในท้องถิ่น ซึ่งอาจรวมถึงการเป็นอาสาสมัคร การฝึกงาน โครงการบริการชุมชน และการมีส่วนร่วมในกิจกรรม หรือความคิดริเริ่มของชุมชน การเรียนรู้โดยชุมชนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสมาชิก ความเข้าใจทางวัฒนธรรม และทักษะการแก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง เหมาะสำหรับกิจกรรมที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน ความเห็นอกเห็นใจ และความรับผิดชอบต่อสังคมภายในสภาพแวดล้อมของชุมชนที่หลากหลาย

 

 

4. แหล่งเรียนรู้ที่เป็นทรัพยากรบุคคล

แหล่งการเรียนรู้ประเภทนี้หมายถึงทรัพยากรบุคคลที่ใช้เพื่อสอนวิชานอกห้องเรียน ซึ่งมีทั้งความรู้ และทักษะตามความสนใจ หรือความต้องการส่วนบุคคล ซึ่งอาจใช้หนังสือ บทช่วยสอน วิดีโอเพื่อการศึกษา พอดแคสต์ โปรแกรมการให้คำปรึกษา นอกจากนี้ กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองช่วยในการสอน และทรัพยากรการเรียนรู้ส่วนบุคคล จะช่วยให้บุคคลสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต สำรวจวิชาเฉพาะ และปรับแต่งประสบการณ์การเรียนรู้ตามความต้องการ และเป้าหมายส่วนบุคคล เหมาะสำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง การพัฒนาทักษะ และการเติบโตทางวิชาชีพในด้านต่างๆ

7 กิจกรรมนอกห้องเรียนที่น่าสนใจ

7 กิจกรรมนอกห้องเรียนที่น่าสนใจ

กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้นอกห้องเรียนมีที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งแต่ละอย่างล้วนช่วยพัฒนา และเสริมสร้างทักษะที่สามารถต่อยอดประสบการณ์การใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยในบทความนี้ได้รวบรวมตัวอย่าง 7 กิจกรรมนอกห้องเรียนที่น่าสนใจต่างๆ มาให้ได้อ่านกัน ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1. กิจกรรมจิตอาสา หรือโครงการเพื่อสังคม

กิจกรรมจิตอาสาเป็นกิจกรรมเรียนรู้นอกห้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการสละเวลา และความพยายามเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นหรือสนับสนุนสังคม เช่น กิจกรรมการกุศล การเข้าร่วมโครงการทำความสะอาดชุมชน หรือการอาสาที่สถานสงเคราะห์ หรือแจกจ่ายอาหารในท้องถิ่น กิจกรรมเหล่านี้เหมาะสำหรับการสร้างพลังเชิงบวกต่อชุมชนและสังคมไปพร้อมกับการพัฒนาทักษะการเอาใจใส่ การทำงานเป็นทีม และความเป็นผู้นำ

2. กิจกรรมเวิร์กช็อป Online และ On-site

กิจกรรมเวิร์กช็อปเป็นการเรียนนอกห้องเรียนที่มอบประสบการณ์การเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริงในสาขาต่างๆ เช่น ศิลปะและงานฝีมือ การเขียนโค้ด การทำอาหาร การถ่ายภาพ หรือการเต้นรำ เวิร์กช็อปออนไลน์มอบความยืดหยุ่นและการเข้าถึงได้ ในขณะที่เวิร์กช็อปในสถานที่เปิดโอกาสให้มีปฏิสัมพันธ์แบบเห็นหน้ากันและเสริมสร้างทักษะในทางปฏิบัติ กิจกรรมเหล่านี้เหมาะสำหรับบุคคลที่สนใจฝึกฝนทักษะเฉพาะด้าน สำรวจงานอดิเรกใหม่ๆ และสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่มีความสนใจเหมือนกัน

3. กิจกรรมสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็ก

เป็นกิจกรรมนอกห้องเรียนปฐมวัยที่ช่วยเพิ่มความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและครอบคลุมให้กับเด็กๆ ได้เล่น ได้เรียนรู้ และเข้าสังคม ซึ่งอาจใช้พื้นที่ในสนามเด็กเล่น จัดกิจกรรมกีฬา การละเล่นต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มความสนุกสนานให้กับเด็กๆ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในด้านต่างๆ ทั้งทักษะทางด้านกีฬา การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการเข้าสังคม

4. กิจกรรมการดูหนัง หรือการ์ตูน เพื่อเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ

4. กิจกรรมการดูหนัง หรือการ์ตูน เพื่อเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ

การชมภาพยนตร์ หรือดูการ์ตูนเพื่อเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เป็นวิธีที่สนุกสนานในการเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ การฟังสำเนียงจากเจ้าของภาษา และอ่านคำบรรยายไปพร้อมกัน ทำให้สามารถพัฒนาทักษะความเข้าใจของภาษาต่างๆ ได้ ในขณะที่ได้รับความเพลิดเพลินกับเนื้อหาความบันเทิงไปด้วย กิจกรรมนี้เป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบภาษาทุกวัย นอกจากนั้นยังช่วยให้เรียนรู้ในวัฒนธรรมใหม่ๆ และพัฒนาทักษะในด้านการฟังอีกด้วย

5. กิจกรรมพูดคุยข่าวสาร สาระ อัปเดตเทรนด์ใหม่ๆ

การเรียนรู้นอกห้องเรียนโดยใช้กิจกรรมพูดคุยเกี่ยวกับข่าว สาระ หรือเทรนด์ใหม่ๆ เป็นการมีส่วนร่วมในการอภิปรายเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบัน หัวข้อที่ให้ข้อมูล หรือแนวโน้มที่เกิดขึ้นใหม่ ช่วยให้บุคคลรับทราบข้อมูล และขยายมุมมองของตน กิจกรรมนี้ส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะในการสื่อสาร และการตระหนักถึงปัญหาในสังคม เหมาะสำหรับบุคคลที่สนใจติดตามข่าวสารและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น

6. กิจกรรมการจดบันทึกประจำตัว

เป็นวิชานอกห้องเรียนที่เกี่ยวกับการจดบันทึกประจำตัวเกี่ยวข้องกับการจดบันทึกความคิด ประสบการณ์ และการไตร่ตรองเป็นประจำ กิจกรรมนี้ส่งเสริมการไตร่ตรองตนเองอย่างมีสติ การทบทวนความคิดและเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพื่อส่งเสริมการเติบโตส่วนบุคคล เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความตระหนักรู้ในตนเอง ความคิดสร้างสรรค์ และพัฒนาทักษะทางอารมณ์ที่ดี

7. กิจกรรมส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี

การจัดกิจกรรมส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาจหมายรวมถึงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ การประดิษฐ์อุปกรณ์ใหม่ๆ การแข่งขันประดิษฐ์หุ่นยนต์ การเขียนโค้ด ที่ช่วยส่งเสริมความสนใจ และการมีส่วนร่วมในสาขาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี กิจกรรมเหล่านี้ส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็น ทักษะการแก้ปัญหา และนวัตกรรมใหม่ๆ ในหมู่ผู้เข้าร่วม เหมาะสำหรับนักเรียน นักการศึกษา และผู้ที่สนใจในการพัฒนาทักษะทางการศึกษา และต่อยอดไปใช้ในอาชีพได้ในอนาคต

ประโยชน์และข้อดีของการเรียนรู้นอกห้องเรียน

การเรียนรู้นอกห้องเรียนข้อดีมีหลายประการ ซึ่งมีประโยชน์มากมาย ทั้งต่อผู้เรียน และผู้สอนเอง โดยมีข้อดีเด่นๆ ดังนี้

  • เพิ่มการมีส่วนร่วมมากขึ้น : บุคคลมักมีส่วนร่วมในกิจกรรมช่วยเพิ่มผลลัพธ์การเรียนรู้ โดยส่งเสริมความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
  • เสริมสร้างความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ : สิ่งนี้ปลูกฝังกรอบความคิดแห่งความอยากรู้อยากเห็น การทดลอง และความคิดริเริ่ม ซึ่งจำเป็นต่อความสำเร็จในด้านต่างๆ ของชีวิต
  • ช่วยพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ : การเรียนรู้นอกห้องเรียนช่วยให้บุคคลพัฒนาทักษะที่หลากหลายนอกเหนือจากวิชาการ  เช่น การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ความเป็นผู้นำ การจัดการเวลา และการปรับตัว
  • ทำให้การเรียนมีความน่าสนใจและน่าสนุกมากขึ้น : เป็นโอกาสในการเรียนรู้จากประสบการณ์ การค้นพบ และการสำรวจ ไม่ว่าจะผ่านเวิร์กช็อปเชิงโต้ตอบ กิจกรรมกลางแจ้ง หรือโครงการสร้างสรรค์
  • เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ : การมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกห้องเรียนทำให้บุคคลได้รับประสบการณ์ วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมใหม่ ขยายมุมมองและเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิต

 

การสนับสนุนองค์กร หรือโครงการเรียนรู้นอกห้องเรียน

การสนับสนุนองค์กร หรือโครงการเรียนรู้นอกห้องเรียน

เราทุกคนสามารถส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียนได้ด้วยการทำกิจกรรมต่างๆ หรือร่วมระดมทุนให้กับองค์กร หรือโครงการที่สนับสนุนการเรียนรู้นอกห้องเรียนได้ โดยผ่าน Cheewid ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมองค์กรเพื่อสังคม และโครงการที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเรียนรู้นอกห้องเรียน เพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการสนับสนุน เพราะการระดมทุนนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนการทำกิจกรรม หรือการเรียนรู้นอกห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังเป็นการมอบความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้ที่ไม่มีโอกาส เด็กกำพร้า ผู้พิการ หรือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ทางการศึกษา ให้ได้เข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมโดยไม่แบ่งแยกนั่นเอง

สรุป

การเรียนรู้นอกห้องเรียนหมายถึงการศึกษาที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากห้องเรียนแบบเดิมๆ เป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากจะช่วยเพิ่มการเรียนรู้จากประสบการณ์ ส่งเสริมการประยุกต์ใช้ความรู้ในโลกแห่งความเป็นจริง และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนโดยการมอบประสบการณ์ตรง การเปิดรับมุมมองที่หลากหลาย และโอกาสในการเติบโตส่วนบุคคล ซึ่งสามารถสนับสนุนผ่านช่องทางอื่นๆ ได้โดยการบริจาคให้โครงการต่างๆ หรือร่วมเป็นอาสาสมัครได้ผ่าน Cheewid 

องค์กรเพื่อสังคมที่เกี่ยวข้อง

banner - กสศ
logo - กสศ

กสศ. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

เราสนับสนุนช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา เสริมสร้าง พัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู
logo - มูลนิธิไทยรัฐ

มูลนิธิไทยรัฐ

เราเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการศึกษา และช่วยเหลือกิจกรรมเกี่ยวกับการศึกษาแก่นักเรียนที่ยากจนและนักเรียนดีเด่นทั่วไป ส่งเสริมการศึกษา และค้นคว้าวิจัยงานหนังสือพิมพ์ร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์เพื่อเด็กๆ

banner - sos เด็กโสสะ

มูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทยฯ

เราช่วยเหลือเด็กที่สูญเสียบิดามารดา ขาดญาติมิตร ในรูปแบบของครอบครัวทดแทนถาวรระยะยาว เพื่อให้เด็กสามารถประกอบอาชีพและเลี้ยงดูตัวเองได้ไม่เป็นภาระต่อสังคม