ความรู้นอกห้องเรียน เป็นสิ่งที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ ประสบการณ์ชีวิต ความคิด และทักษะการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่น อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา โดยการเปิดโอกาสให้นักเรียนได้รับการเรียนรู้จากประสบการณ์ การเปิดรับมุมมองที่หลากหลาย และการพัฒนาทักษะการปฏิบัติต่างๆ ที่ให้ทุกคนสามารถทำกิจกรรมนอกห้องเรียนได้หลายรูปแบบ ในบทความนี้จะพาไปดูว่าการเรียนรู้นอกห้องเรียนคืออะไร น่าสนับสนุนอย่างไร มีอะไรที่น่าสนใจ และทำที่ไหนได้บ้าง
การเรียนรู้นอกห้องเรียน คืออะไร
การเรียนรู้นอกห้องเรียน หมายถึง ประสบการณ์ทางการศึกษาที่เกิดขึ้นนอกขอบเขตเดิมของอาคารเรียนและหลักสูตรที่มีโครงสร้าง ประสบการณ์เหล่านี้มักมีลักษณะเฉพาะจากการลงมือปฏิบัติจริงและเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ในสภาพแวดล้อมจริง โดยระบบการศึกษาไทยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน ดังนี้
- การศึกษาในระบบ : การศึกษาที่มีโครงสร้างเป็นระบบ โดยเป็นไปตามหลักสูตรที่กำหนด มีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ ทักษะ และคุณวุฒิที่จำเป็นสำหรับวิชาชีพ
- การศึกษานอกระบบ : เป็นการศึกษาที่ครอบคลุมโอกาสการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นนอกระบบการศึกษา แต่ยังคงเป็นไปตามโปรแกรมที่มีโครงสร้าง มีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของบุคคลที่อาจไม่สามารถเข้าถึงหรือได้รับประโยชน์จากการศึกษาในระบบ
- การศึกษาตามอัธยาศัย : การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นผ่านประสบการณ์ชีวิตประจำวัน ปฏิสัมพันธ์ และกิจกรรมต่างๆ ไม่ได้ถูกวางโครงสร้างหรือจัดระเบียบโดยสถาบัน มีบทบาทสำคัญในการเสริมการศึกษาในระบบ ช่วยให้บุคคลได้รับทักษะใหม่ๆ
การเรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นหนึ่งในการศึกษาทางเลือกยุคใหม่ที่ระบบการศึกษาไทยสนับสนุน เช่นเดียวกับการศึกษาของหลายๆ ประเทศที่เลือกใช้ระบบนี้ การเรียนรู้นอกห้องเรียนมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มการมีส่วนร่วม แรงจูงใจ ประสบการณ์ พัฒนาทักษะ ความเข้าใจในเรื่องต่างๆ การเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ช่วยเสริมประสิทธิภาพการสอน สภาพแวดล้อมของการเรียนต้องมีความปลอดภัยเป็นหลัก สามารถยืดหยุ่นได้ เพื่อให้เกิดการปรับตัวของนักเรียน จะได้เกิดการโต้ตอบและซักถาม เพื่อให้การสอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การเรียนรู้นอกห้องเรียน กับการเรียนแบบปกติต่างกันอย่างไร
การเรียนรู้นอกห้องเรียน หรือที่เรียกกันว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ แตกต่างจากการเรียนรู้ในห้องเรียนแบบดั้งเดิมในหลายๆ ด้าน โดยความรู้นอกห้องเรียนจะเน้นความรู้ในโลกแห่งความเป็นจริงมากกว่าความรู้เชิงวิชาการภายในห้องเรียน มักมีการลงมือปฏิบัติจริงมากกว่าการเรียนรู้ผ่านการสอนบรรยาย หรืออธิบายเพียงอย่างเดียว มีการออกไปเรียนนอกห้องเรียน มีการจัดกิจกรรมที่กระตุ้นผู้เรียนให้พยายามสังเกต สอบถาม และวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้มาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวัน ตารางการเรียนมีความยืดหยุ่นมากกว่าการเรียนแบบปกติ มีเป้าหมายที่ชัดเจน และมีการประเมินผลอย่างเป็นระบบ
ประเภทของแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน
แหล่งเรียนรู้คือ แหล่งข้อมูล เนื้อหา ความรู้ที่มีประโยชน์ต่อผู้เรียน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการเรียนรู้นอกห้องเรียนโดยสามารถนำไปต่อยอดเพื่อสั่งสมประสบการณ์ และพัฒนาความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียน แบ่งได้ 4 ประเภท ดังนี้
1. แหล่งเรียนรู้ตามธรรมชาติ
การเรียนรู้นอกห้องเรียนประเภทนี้เกี่ยวข้องกับการได้รับความรู้ และทักษะจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ อาจรวมถึงกิจกรรมต่างๆ เช่น การเดินป่า ตั้งแคมป์ ทำสวน หรือเพียงสังเกตปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น รูปแบบสภาพอากาศ พฤติกรรมของสัตว์ และการเจริญเติบโตของพืช การเรียนรู้จากธรรมชาติส่งเสริมการสำรวจ ความอยากรู้อยากเห็น และประสบการณ์ตรง เหมาะสำหรับกิจกรรมที่ส่งเสริมความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อม การสอบถามทางวิทยาศาสตร์ และการศึกษากลางแจ้ง
2. แหล่งเรียนรู้ที่สร้างขึ้นในสถานศึกษา และนอกสถานศึกษา
หมายรวมถึงวิชานอกห้องเรียน และในห้องเรียนที่จัดไว้ให้ภายในสถาบันการศึกษาตลอดจนนอกสถานศึกษาที่เป็นทางการ ครอบคลุมกิจกรรมต่างๆ เช่น ชมรม ทีมกีฬา เวิร์กชอป ทัศนศึกษา และกิจกรรมให้ความรู้ที่โรงเรียนจัดขึ้น กิจกรรมเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเสริมการเรียนรู้ในชั้นเรียน ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ทางสังคม พัฒนาทักษะการปฏิบัติ และส่งเสริมความสนใจส่วนบุคคล การเรียนรู้นอกห้องเรียน ทั้งนี้ในสถานศึกษานี้เหมาะสำหรับกิจกรรมที่หลากหลายซึ่งปรับให้เหมาะกับความสนใจ และวัตถุประสงค์การเรียนรู้ของนักเรียน
3. แหล่งเรียนรู้ในชุมชน
แหล่งเรียนรู้ในชุมชนเป็นการเรียนนอกห้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการได้รับความรู้ และทักษะผ่านการมีส่วนร่วมกับชุมชนในท้องถิ่น ซึ่งอาจรวมถึงการเป็นอาสาสมัคร การฝึกงาน โครงการบริการชุมชน และการมีส่วนร่วมในกิจกรรม หรือความคิดริเริ่มของชุมชน การเรียนรู้โดยชุมชนส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสมาชิก ความเข้าใจทางวัฒนธรรม และทักษะการแก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง เหมาะสำหรับกิจกรรมที่ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน ความเห็นอกเห็นใจ และความรับผิดชอบต่อสังคมภายในสภาพแวดล้อมของชุมชนที่หลากหลาย
4. แหล่งเรียนรู้ที่เป็นทรัพยากรบุคคล
แหล่งการเรียนรู้ประเภทนี้หมายถึงทรัพยากรบุคคลที่ใช้เพื่อสอนวิชานอกห้องเรียน ซึ่งมีทั้งความรู้ และทักษะตามความสนใจ หรือความต้องการส่วนบุคคล ซึ่งอาจใช้หนังสือ บทช่วยสอน วิดีโอเพื่อการศึกษา พอดแคสต์ โปรแกรมการให้คำปรึกษา นอกจากนี้ กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองช่วยในการสอน และทรัพยากรการเรียนรู้ส่วนบุคคล จะช่วยให้บุคคลสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต สำรวจวิชาเฉพาะ และปรับแต่งประสบการณ์การเรียนรู้ตามความต้องการ และเป้าหมายส่วนบุคคล เหมาะสำหรับการเรียนรู้ด้วยตนเอง การพัฒนาทักษะ และการเติบโตทางวิชาชีพในด้านต่างๆ
7 กิจกรรมนอกห้องเรียนที่น่าสนใจ
กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้นอกห้องเรียนมีที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งแต่ละอย่างล้วนช่วยพัฒนา และเสริมสร้างทักษะที่สามารถต่อยอดประสบการณ์การใช้ชีวิตประจำวันได้ โดยในบทความนี้ได้รวบรวมตัวอย่าง 7 กิจกรรมนอกห้องเรียนที่น่าสนใจต่างๆ มาให้ได้อ่านกัน ซึ่งมีดังต่อไปนี้
1. กิจกรรมจิตอาสา หรือโครงการเพื่อสังคม
กิจกรรมจิตอาสาเป็นกิจกรรมเรียนรู้นอกห้องเรียนที่เกี่ยวข้องกับการสละเวลา และความพยายามเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นหรือสนับสนุนสังคม เช่น กิจกรรมการกุศล การเข้าร่วมโครงการทำความสะอาดชุมชน หรือการอาสาที่สถานสงเคราะห์ หรือแจกจ่ายอาหารในท้องถิ่น กิจกรรมเหล่านี้เหมาะสำหรับการสร้างพลังเชิงบวกต่อชุมชนและสังคมไปพร้อมกับการพัฒนาทักษะการเอาใจใส่ การทำงานเป็นทีม และความเป็นผู้นำ
2. กิจกรรมเวิร์กช็อป Online และ On-site
กิจกรรมเวิร์กช็อปเป็นการเรียนนอกห้องเรียนที่มอบประสบการณ์การเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติจริงในสาขาต่างๆ เช่น ศิลปะและงานฝีมือ การเขียนโค้ด การทำอาหาร การถ่ายภาพ หรือการเต้นรำ เวิร์กช็อปออนไลน์มอบความยืดหยุ่นและการเข้าถึงได้ ในขณะที่เวิร์กช็อปในสถานที่เปิดโอกาสให้มีปฏิสัมพันธ์แบบเห็นหน้ากันและเสริมสร้างทักษะในทางปฏิบัติ กิจกรรมเหล่านี้เหมาะสำหรับบุคคลที่สนใจฝึกฝนทักษะเฉพาะด้าน สำรวจงานอดิเรกใหม่ๆ และสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่มีความสนใจเหมือนกัน
3. กิจกรรมสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็ก
เป็นกิจกรรมนอกห้องเรียนปฐมวัยที่ช่วยเพิ่มความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและครอบคลุมให้กับเด็กๆ ได้เล่น ได้เรียนรู้ และเข้าสังคม ซึ่งอาจใช้พื้นที่ในสนามเด็กเล่น จัดกิจกรรมกีฬา การละเล่นต่างๆ ที่ช่วยเพิ่มความสนุกสนานให้กับเด็กๆ กิจกรรมเหล่านี้ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในด้านต่างๆ ทั้งทักษะทางด้านกีฬา การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการเข้าสังคม
4. กิจกรรมการดูหนัง หรือการ์ตูน เพื่อเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ
การชมภาพยนตร์ หรือดูการ์ตูนเพื่อเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ เป็นวิธีที่สนุกสนานในการเรียนรู้ภาษาใหม่ๆ การฟังสำเนียงจากเจ้าของภาษา และอ่านคำบรรยายไปพร้อมกัน ทำให้สามารถพัฒนาทักษะความเข้าใจของภาษาต่างๆ ได้ ในขณะที่ได้รับความเพลิดเพลินกับเนื้อหาความบันเทิงไปด้วย กิจกรรมนี้เป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียนที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบภาษาทุกวัย นอกจากนั้นยังช่วยให้เรียนรู้ในวัฒนธรรมใหม่ๆ และพัฒนาทักษะในด้านการฟังอีกด้วย
5. กิจกรรมพูดคุยข่าวสาร สาระ อัปเดตเทรนด์ใหม่ๆ
การเรียนรู้นอกห้องเรียนโดยใช้กิจกรรมพูดคุยเกี่ยวกับข่าว สาระ หรือเทรนด์ใหม่ๆ เป็นการมีส่วนร่วมในการอภิปรายเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบัน หัวข้อที่ให้ข้อมูล หรือแนวโน้มที่เกิดขึ้นใหม่ ช่วยให้บุคคลรับทราบข้อมูล และขยายมุมมองของตน กิจกรรมนี้ส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ทักษะในการสื่อสาร และการตระหนักถึงปัญหาในสังคม เหมาะสำหรับบุคคลที่สนใจติดตามข่าวสารและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น
6. กิจกรรมการจดบันทึกประจำตัว
เป็นวิชานอกห้องเรียนที่เกี่ยวกับการจดบันทึกประจำตัวเกี่ยวข้องกับการจดบันทึกความคิด ประสบการณ์ และการไตร่ตรองเป็นประจำ กิจกรรมนี้ส่งเสริมการไตร่ตรองตนเองอย่างมีสติ การทบทวนความคิดและเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพื่อส่งเสริมการเติบโตส่วนบุคคล เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความตระหนักรู้ในตนเอง ความคิดสร้างสรรค์ และพัฒนาทักษะทางอารมณ์ที่ดี
7. กิจกรรมส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
การจัดกิจกรรมส่งเสริมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาจหมายรวมถึงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ การประดิษฐ์อุปกรณ์ใหม่ๆ การแข่งขันประดิษฐ์หุ่นยนต์ การเขียนโค้ด ที่ช่วยส่งเสริมความสนใจ และการมีส่วนร่วมในสาขาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี กิจกรรมเหล่านี้ส่งเสริมความอยากรู้อยากเห็น ทักษะการแก้ปัญหา และนวัตกรรมใหม่ๆ ในหมู่ผู้เข้าร่วม เหมาะสำหรับนักเรียน นักการศึกษา และผู้ที่สนใจในการพัฒนาทักษะทางการศึกษา และต่อยอดไปใช้ในอาชีพได้ในอนาคต
ประโยชน์และข้อดีของการเรียนรู้นอกห้องเรียน
การเรียนรู้นอกห้องเรียนข้อดีมีหลายประการ ซึ่งมีประโยชน์มากมาย ทั้งต่อผู้เรียน และผู้สอนเอง โดยมีข้อดีเด่นๆ ดังนี้
- เพิ่มการมีส่วนร่วมมากขึ้น : บุคคลมักมีส่วนร่วมในกิจกรรมช่วยเพิ่มผลลัพธ์การเรียนรู้ โดยส่งเสริมความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
- เสริมสร้างความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ : สิ่งนี้ปลูกฝังกรอบความคิดแห่งความอยากรู้อยากเห็น การทดลอง และความคิดริเริ่ม ซึ่งจำเป็นต่อความสำเร็จในด้านต่างๆ ของชีวิต
- ช่วยพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ : การเรียนรู้นอกห้องเรียนช่วยให้บุคคลพัฒนาทักษะที่หลากหลายนอกเหนือจากวิชาการ เช่น การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ความเป็นผู้นำ การจัดการเวลา และการปรับตัว
- ทำให้การเรียนมีความน่าสนใจและน่าสนุกมากขึ้น : เป็นโอกาสในการเรียนรู้จากประสบการณ์ การค้นพบ และการสำรวจ ไม่ว่าจะผ่านเวิร์กช็อปเชิงโต้ตอบ กิจกรรมกลางแจ้ง หรือโครงการสร้างสรรค์
- เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ใหม่ๆ : การมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกห้องเรียนทำให้บุคคลได้รับประสบการณ์ วัฒนธรรม และสภาพแวดล้อมใหม่ ขยายมุมมองและเพิ่มคุณค่าให้กับชีวิต
การสนับสนุนองค์กร หรือโครงการเรียนรู้นอกห้องเรียน
เราทุกคนสามารถส่งเสริมการเรียนรู้นอกห้องเรียนได้ด้วยการทำกิจกรรมต่างๆ หรือร่วมระดมทุนให้กับองค์กร หรือโครงการที่สนับสนุนการเรียนรู้นอกห้องเรียนได้ โดยผ่าน Cheewid ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมองค์กรเพื่อสังคม และโครงการที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเรียนรู้นอกห้องเรียน เพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการสนับสนุน เพราะการระดมทุนนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนการทำกิจกรรม หรือการเรียนรู้นอกห้องเรียนเท่านั้น แต่ยังเป็นการมอบความรู้และประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้ที่ไม่มีโอกาส เด็กกำพร้า ผู้พิการ หรือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ทางการศึกษา ให้ได้เข้าถึงการศึกษาอย่างเท่าเทียมโดยไม่แบ่งแยกนั่นเอง
สรุป
การเรียนรู้นอกห้องเรียนหมายถึงการศึกษาที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากห้องเรียนแบบเดิมๆ เป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากจะช่วยเพิ่มการเรียนรู้จากประสบการณ์ ส่งเสริมการประยุกต์ใช้ความรู้ในโลกแห่งความเป็นจริง และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนโดยการมอบประสบการณ์ตรง การเปิดรับมุมมองที่หลากหลาย และโอกาสในการเติบโตส่วนบุคคล ซึ่งสามารถสนับสนุนผ่านช่องทางอื่นๆ ได้โดยการบริจาคให้โครงการต่างๆ หรือร่วมเป็นอาสาสมัครได้ผ่าน Cheewid