Key Takeaway
- กฎหมายคุ้มครองเด็กในประเทศไทย คือพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2546 ที่กำหนดหลักเกณฑ์การดูแล คุ้มครอง และพัฒนาเด็กให้ได้รับการปกป้องจากอันตรายและการละเมิดสิทธิอย่างเหมาะสม
- อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) คือกฎหมายระหว่างประเทศที่กำหนดสิทธิพื้นฐานของเด็ก เช่น สิทธิในการอยู่รอด สิทธิในการได้รับการคุ้มครอง สิทธิในการพัฒนา และสิทธิในการมีส่วนร่วม ซึ่งประเทศไทยได้นำหลักการนี้มาบัญญัติเป็นกฎหมายภายในประเทศด้วย
- สิทธิเด็กตามกฎหมายไทย ได้แก่ สิทธิในชีวิตและความปลอดภัย สิทธิทางการศึกษา สิทธิในสุขภาพ และสิทธิในความเป็นส่วนตัวและการแสดงออก ซึ่งกฎหมายคุ้มครองเด็กรับรองและคุ้มครองสิทธิเหล่านี้อย่างครบถ้วน
- ความสำคัญของกฎหมายคุ้มครองเด็ก คือการปกป้องเด็กจากอันตรายและการละเมิด ส่งเสริมความเท่าเทียม ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็กในสังคม และกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการดูแลและพัฒนาเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ
“เด็กคืออนาคตของชาติ” ประโยคนี้เป็นคำกล่าวที่เราคุ้นหูและได้ยินกันอยู่บ่อยๆ แต่ในความเป็นจริง เด็กจำนวนไม่น้อยกลับต้องเผชิญกับปัญหาความรุนแรง การละเมิดสิทธิ และการถูกละเลย ไม่ว่าจะในบ้าน โรงเรียน หรือสังคม ด้วยเหตุนี้เองจึงเกิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองเด็กขึ้น เพื่อให้เด็กทุกคนเติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพ ปลอดภัย และมีสิทธิขั้นพื้นฐานตามหลักสากล
บทความนี้จะพามาเจาะลึกประเด็นสำคัญ สรุปกฎหมายคุ้มครองเด็กในประเทศไทย ทำความเข้าใจสิทธิพื้นฐานที่เด็กควรได้รับตามหลักสากล แล้วมาดูตัวอย่างการละเมิดสิทธิเด็กที่พบได้ในสังคมปัจจุบันกัน!
กฎหมายคุ้มครองเด็กในประเทศไทยคืออะไร?
พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2546 คือกฎหมายคุ้มครองเด็กของไทยที่มีจุดประสงค์เพื่อให้เด็กได้รับการดูแล อุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาตามสมควรตามขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมแห่งท้องถิ่น โดยไม่ให้เด็กตกอยู่ในภาวะที่อาจเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ
กฎหมายฉบับนี้กำหนดความหมายของ “เด็ก” ว่าเป็นบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมผู้ที่บรรลุนิติภาวะด้วยการสมรส นอกจากนี้ยังระบุหน้าที่ของผู้ปกครองในการดูแลเด็ก และห้ามไม่ให้มีการทารุณกรรมเด็ก ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย จิตใจ หรือละเลยไม่ให้การดูแลที่จำเป็นแก่เด็ก
พระราชบัญญัตินี้กำหนดให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เช่น ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ และปลัดอำเภอ มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กในพื้นที่รับผิดชอบ โดยสามารถเข้าไปดูแลเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ถูกทำร้าย หรืออยู่ในสภาวะเสี่ยง รวมถึงมีอำนาจเข้าไปในสถานที่หรือยานพาหนะที่สงสัยว่ามีการทารุณกรรมเด็กได้ กฎหมายนี้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2547 แทนที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับก่อนหน้า และยังได้กำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองเด็กแห่งชาติเพื่อดูแลประสานงานด้านการคุ้มครองเด็กอีกด้วย
สิทธิเด็กตามกฎหมายไทย
สิทธิเด็กตามกฎหมายไทยเป็นสิทธิพื้นฐานที่เด็กทุกคนพึงได้รับเพื่อให้เติบโตอย่างสมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม กฎหมายคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 กำหนดให้เด็กได้รับการปกป้องคุ้มครองและส่งเสริมในหลายด้าน ทั้งด้านการใช้ชีวิต ความปลอดภัย การศึกษา สุขภาพ และการแสดงออก เพื่อให้เด็กได้รับโอกาสและสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนาอย่างเต็มที่ ดังนี้
สิทธิในชีวิตและความปลอดภัย
กฎหมายไทยให้ความสำคัญกับสิทธิในชีวิตและความปลอดภัยของเด็กมาก โดยมุ่งมั่นที่จะปกป้องเด็กจากอันตรายทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่ว่าจะเป็นการทารุณกรรม การถูกทอดทิ้ง หรือการขัดขวางพัฒนาการ หน้าที่ดูแลและคุ้มครองเด็กจากภัยคุกคามเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้ปกครองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาครัฐด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าเด็กทุกคนจะเติบโตอย่างปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
สิทธิทางการศึกษา
สิทธิทางการศึกษาคือรากฐานสำคัญเพื่ออนาคตของเด็กไทย เด็กทุกคนในประเทศไทยมีสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะได้รับการศึกษาอย่างเต็มที่และเหมาะสมตามที่กฎหมายกำหนด สิทธินี้ไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะ และศักยภาพของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ การรับรองสิทธิทางการศึกษาจึงเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมความเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำในสังคมของเราได้
สิทธิในสุขภาพ
กฎหมายคุ้มครองเด็กให้เด็กทุกคนมีสิทธิขั้นพื้นฐานที่จะเข้าถึงการดูแลรักษาพยาบาลและการส่งเสริมสุขภาพอย่างเหมาะสมตามกฎหมายไทย สิ่งนี้หมายความว่าทั้งผู้ปกครองและรัฐมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดหาสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตและสุขภาพของเด็กอย่างเพียงพอ เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กจะได้รับการปกป้องจากอันตราย และเติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ
สิทธิในความเป็นส่วนตัวและการแสดงออก
เด็กทุกคนในประเทศไทยมีสิทธิขั้นพื้นฐานในความเป็นส่วนตัวและการแสดงออกตามที่กฎหมายรับรอง สิ่งนี้หมายความว่าเด็กควรได้รับการเคารพในตัวตนของตัวเอง มีโอกาสที่จะแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ และความคิดเห็นนั้นควรได้รับการรับฟังอย่างเหมาะสม การส่งเสริมสิทธิเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางอารมณ์และจิตใจ รวมถึงความมั่นใจในตัวเองของเด็ก แต่ยังเป็นการป้องกันการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลที่อาจเกิดขึ้นได้อีกด้วย
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการคุ้มครองเด็ก
กฎหมายคุ้มครองเด็กในประเทศไทยเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของหลายหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และองค์กรพัฒนาเอกชน หน่วยงานเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อปกป้องสิทธิเด็ก ป้องกันการละเมิด และให้ความช่วยเหลือเด็กที่ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงหรือถูกละเมิด สิ่งนี้ช่วยสร้างระบบคุ้มครองเด็กที่มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกมิติ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการด้านสวัสดิภาพและการคุ้มครองเด็กในระดับประเทศ โดยดูแลและประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เด็กได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสม รวมถึงการจัดตั้งและควบคุมสถานสงเคราะห์เด็กและเยาวชน รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาและฟื้นฟูเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการละเมิดสิทธิ
กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน (DJOP)
กรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน (DJOP) ทำหน้าที่ดูแลฟื้นฟูเด็กและเยาวชนที่ประสบปัญหาทางสังคมหรือกฎหมาย โดยเฉพาะผู้ที่ศาลส่งตัวมาเพื่อปรับปรุงพฤติกรรมและคุ้มครองสวัสดิภาพ กรมฯ มุ่งเน้นการป้องกันการกระทำผิดซ้ำ ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนกลับคืนสู่สังคมอย่างเหมาะสม และพัฒนาศักยภาพให้พวกเขาสามารถเติบโตเป็นพลเมืองที่ดีในอนาคตได้
กรมกิจการเด็กและเยาวชน (DCD)
กรมกิจการเด็กและเยาวชน (DCD) มุ่งมั่นส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิเด็กไทยในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สุขภาพ หรือการพัฒนาศักยภาพอย่างเต็มที่ DCD ทำงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาคีต่างๆ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อเด็ก พร้อมทั้งบริหารจัดการสถานสงเคราะห์และสถานคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก เพื่อให้เด็กทุกคนเติบโตอย่างปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไรที่มุ่งมั่นคุ้มครองเด็กที่ถูกละเมิดสิทธิและความรุนแรง มีการทำงานร่วมกับภาครัฐและผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างครอบคลุม พร้อมทั้งส่งเสริมศักยภาพเด็กและชุมชนให้เข้มแข็ง มีทักษะป้องกันตัวเอง และร่วมกันสร้างสังคมที่ปลอดภัยและเอื้ออาทรสำหรับเด็กทุกคน
มูลนิธิสายเด็ก 1387 (Childline Thailand)
มูลนิธิสายเด็ก 1387 เพื่อนคู่คิดของเด็กไทย คือสายด่วนคุ้มครองเด็กที่พร้อมเป็นที่พึ่งให้กับเด็กๆ ที่ถูกละเมิดสิทธิ์หรือตกอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง พร้อมให้คำปรึกษา ช่วยเหลือฉุกเฉิน และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เด็กทุกคนได้รับการปกป้องดูแล และฟื้นฟูสภาพจิตใจอย่างเหมาะสมที่สุด
องค์กรพันธมิตรและเครือข่ายสิทธิเด็ก
องค์กรพันธมิตรและเครือข่ายสิทธิเด็ก พลังขับเคลื่อนเพื่อการคุ้มครองเด็กที่ยั่งยืน มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองเด็กๆ และเยาวชน มีการทำงานอย่างแข็งขันผ่านการรณรงค์ สร้างความตระหนัก และประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อวางรากฐานระบบคุ้มครองเด็กให้เข้มแข็งและยั่งยืนในสังคม เพื่อให้เด็กทุกคนเติบโตได้อย่างปลอดภัยและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีภารกิจสำคัญในการป้องกันและปราบปรามการละเมิดสิทธิเด็ก โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมรับแจ้งเหตุและดำเนินคดีทุกกรณีที่เกี่ยวข้องกับการทารุณกรรมเด็ก นอกจากนี้ยังประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานภาคี เพื่อให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กที่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงหรือการละเมิดได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) คืออะไร?
อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child – CRC) ทั้ง 54 ข้อ มุ่งเน้นไปที่การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็ก โดยสามารถสรุปสาระสำคัญได้เป็น 4 ด้านหลัก ได้แก่ สิทธิที่จะมีชีวิตรอด สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง สิทธิในการพัฒนา และสิทธิในการมีส่วนร่วม นอกจากนี้ อนุสัญญายังตั้งอยู่บนหลักการสำคัญคือ การไม่เลือกปฏิบัติ และต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นที่ตั้งเสมอ ดังนี้
1. สิทธิในการอยู่รอด (Right to Survival)
ตั้งแต่แรกเกิด เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตรอดและได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ซึ่งรวมถึงการจดทะเบียนเกิด มีชื่อและสัญชาติ ได้รับการเลี้ยงดูจากบิดามารดา และไม่ถูกแยกจากครอบครัว รัฐมีหน้าที่สำคัญในการประกันสิทธิเหล่านี้ โดยต้องจัดหาสิ่งจำเป็นพื้นฐาน เช่น การบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ โภชนาการที่เหมาะสม น้ำดื่มสะอาด ที่อยู่อาศัยที่ถูกสุขลักษณะ และโอกาสในการพัฒนา เพื่อให้เด็กๆ ได้เติบโตอย่างแข็งแรงและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต
2. สิทธิในการได้รับการคุ้มครอง (Right to Protection)
เมื่อเด็กได้เกิดและมีชีวิตรอด สิ่งสำคัญถัดมาคือการได้รับการปกป้องคุ้มครองจากความรุนแรง ทั้งร่างกายและจิตใจ รวมถึงการใช้แรงงานผิดกฎหมาย สารเสพติด และการแสวงหาประโยชน์ในทุกรูปแบบ เช่น การค้ามนุษย์ หรือการล่วงละเมิดทางเพศ เป็นต้น
ไม่เพียงเท่านั้น ในกระบวนการยุติธรรม เด็กทุกคนมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือ โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญ นอกจากนี้ เด็กที่พลัดพรากจากครอบครัวและเด็กผู้ลี้ภัยต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ รวมถึงการคุ้มครองจากภัยสงครามและการไม่ถูกเกณฑ์เป็นทหาร เพื่อให้พวกเขาสามารถกลับคืนสู่สังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี
3. สิทธิในการพัฒนา (Right to Development)
เด็กคืออนาคตของชาติ สิทธิในการพัฒนาเพื่อก้าวสู่อนาคตที่สดใสจึงเป็นหัวใจสำคัญ เริ่มตั้งแต่การเข้าถึงบริการปฐมวัยและการศึกษาที่มีคุณภาพ เพื่อบ่มเพาะศักยภาพอย่างเต็มที่ รวมถึงการได้รับข้อมูลข่าวสารที่หลากหลายภายใต้คำแนะนำของผู้ปกครอง นอกจากนี้ เด็กที่มีความต้องการพิเศษต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ให้สามารถพัฒนาตัวเอง พึ่งพาตัวเองได้ และมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างเต็มศักยภาพ สิทธิเหล่านี้จะนำไปสู่การพัฒนาทักษะเฉพาะด้าน ทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อให้เด็กทุกคนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและมีชีวิตที่ดีในอนาคตต่อไป
4. สิทธิในการมีส่วนร่วม (Right to Participation)
เด็กและเยาวชนคือกลุ่มคนสำคัญในสังคม พวกเขามีสิทธิ์เต็มที่ในการมีส่วนร่วม ทั้งการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีและการเข้ามามีบทบาทในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของตัวเอง โดยความคิดเห็นเหล่านั้นควรได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังตามความเหมาะสมของวัยและวุฒิภาวะ ภาครัฐและทุกภาคส่วนควรส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีพื้นที่ในการแสดงศักยภาพและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้แก่สังคม
ตัวอย่างการละเมิดสิทธิเด็กที่พบได้ในสังคม
การละเมิดสิทธิเด็กเป็นปัญหาที่พบได้ในหลายรูปแบบในสังคมไทย ส่งผลกระทบต่อพัฒนาการและคุณภาพชีวิตของเด็กในระยะยาว การรับรู้และเข้าใจตัวอย่างการละเมิดสิทธิเด็กเหล่านี้ช่วยให้สังคมสามารถร่วมมือกันป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. การใช้ความรุนแรงในครอบครัว
การใช้ความรุนแรงในครอบครัวเป็นการละเมิดสิทธิเด็กที่ร้ายแรง เนื่องจากเด็กถูกทำร้ายทั้งทางร่างกายและจิตใจจากคนใกล้ชิด เช่น พ่อแม่หรือญาติพี่น้อง ส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการผิดปกติ ขาดความมั่นคงทางจิตใจ และอาจนำไปสู่ปัญหาทางสุขภาพจิตที่ทำให้เกิดปัญหาสังคมได้ในอนาคต ตัวอย่างเช่น กรณีที่เด็กถูกทำโทษด้วยการตีหรือดุด่าอย่างรุนแรงจนได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น
2. การละเลยทอดทิ้งและขาดการดูแล
การละเลยทอดทิ้งเด็กคือการไม่จัดหาปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการพัฒนาของเด็กอย่างเหมาะสม เช่น อาหาร ที่อยู่อาศัย การดูแลสุขภาพ หรือแม้แต่การปล่อยให้เด็กอยู่ตามลำพังโดยไม่มีผู้ดูแล สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้เด็กตกอยู่ในความเสี่ยงร้ายแรงต่อทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน
3. การล่วงละเมิดทางเพศ
การล่วงละเมิดทางเพศเป็นการกระทำที่ร้ายแรงและละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กอย่างรุนแรง ในปัจจุบัน เราสามารถพบเห็นเหตุการณ์ล่วงละเมิดทางเพศได้อยู่บ่อยๆ ตามข่าว และผู้กระทำก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากคนใกล้ชิดในครอบครัว หรือบางครั้งก็เป็นคนแปลกหน้าภายนอก ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากใคร ก็ล้วนสร้างบาดแผลให้เหยื่อไว้ลึกมากทั้งทางร่างกายและจิตใจ เด็กที่ถูกกระทำอาจต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิตเรื้อรัง รวมถึงพัฒนาการที่หยุดชะงัก ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตในระยะยาวด้วย
4. การบังคับใช้แรงงานเด็ก
การบังคับใช้แรงงานเด็ก ปัญหาที่พรากอนาคตของเด็กและเยาวชน เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ส่งผลให้เด็กๆ ต้องสูญเสียโอกาสสำคัญในการศึกษาและการพัฒนาตัวเอง พวกเขาถูกบังคับให้ทำงานหนักเกินวัยในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายและใจ แต่ยังขัดขวางการเจริญเติบโตที่เหมาะสม ตัวอย่างที่น่าหดหู่คือเด็กที่ถูกนำไปทำงานในโรงงานหรือภาคเกษตรกรรมโดยปราศจากการดูแลที่เพียงพอ ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความเสี่ยงและอันตรายมากมาย
5. การขาดโอกาสทางการศึกษา
การที่เด็กขาดโอกาสทางการศึกษาถือเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่ต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเพราะปัญหาที่บ้าน หรือจากปัญหาเศรษฐกิจและสังคม หรือเด็กในพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีโรงเรียนใกล้บ้าน รวมถึงเด็กที่ถูกบังคับให้ทำงานแทนที่จะได้เรียนหนังสือ สิ่งเหล่านี้ล้วนปิดกั้นอนาคตและโอกาสในการเติบโตของพวกเขา
6. การกลั่นแกล้งและข่มขู่ (Bullying)
การกลั่นแกล้งและข่มขู่ (Bullying) ภัยร้ายที่บั่นทอนจิตใจเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียนหรือในชุมชน ล้วนเป็นการละเมิดสิทธิเด็กอย่างร้ายแรง ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพจิตและความมั่นใจในตัวเองของพวกเขา เด็กที่ถูกกลั่นแกล้งซ้ำๆ เช่น การถูกเพื่อนร่วมห้องล้อเลียนหรือทำร้ายร่างกาย มักจะรู้สึกหวาดกลัว ไม่ปลอดภัย และอาจเก็บกดความรู้สึกเหล่านี้ไว้จนส่งผลเสียในระยะยาว
7. การละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
น่าเสียดายที่ในสังคมไทยเด็กมักถูกจำกัดสิทธิ์ในการแสดงออก โดยเฉพาะประเด็นทางการเมืองและสังคม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการห้ามนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมชุมนุม หรือการลงโทษเมื่อพวกเขาแสดงความคิดเห็นเรื่องการเมือง ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของเด็กอย่างร้ายแรงเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีประเด็นการละเมิดสิทธิและกีดกันไม่ให้เด็กแสดงความคิดเห็นในสถานศึกษา เพราะมองว่าเด็กมีหน้าที่แค่เรียนหนังสือ ซึ่งกฎระเบียบล้าหลังแบบนี้ส่งผลให้เด็กหลายๆ คนไม่ค่อยกล้าพูดในสิ่งที่ตัวเองคิด
8. การลงโทษด้วยความรุนแรงในสถานศึกษา
การตีหรือทำโทษทางร่างกายในสถานศึกษา เป็นการละเมิดสิทธิเด็กที่ส่งผลกระทบเลวร้ายในการใช้ชีวิตของเด็กๆ ในอนาคต เราจะเห็นการกระทำเหล่านี้ได้บ่อยมากๆ ตัวอย่างเช่น กรณีที่ครูใช้กำลังทำโทษเด็กที่ไม่เชื่อฟังหรือทำผิด ทั้งการทำร้ายร่างกายและพูดจาทำร้ายจิตใจ การกระทำพวกนี้ต่างก่อให้เกิดผลเสียอย่างใหญ่หลวงต่อพัฒนาการและสภาพจิตใจของเด็กในระยะยาว
ความสำคัญของกฎหมายคุ้มครองเด็ก
ความสำคัญของกฎหมายคุ้มครองเด็ก คือการสร้างสังคมที่เด็กทุกคนจะได้รับการดูแลและปกป้องอย่างเหมาะสม ช่วยให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีพัฒนาการที่ดี กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมสิทธิและสวัสดิภาพของเด็กในทุกด้านอีกด้วย
ปกป้องเด็กจากอันตรายและการละเมิดทุกรูปแบบ
ความสำคัญของกฎหมายคุ้มครองเด็กคือช่วยป้องกันและปกป้องเด็กจากความรุนแรง การถูกแสวงหาประโยชน์ การละเลยทอดทิ้ง หรือรูปแบบการกระทำต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงต่อร่างกายและจิตใจ กฎหมายกำหนดหน้าที่ของผู้ปกครองและบุคคลที่เกี่ยวข้องให้ต้องปฏิบัติต่อเด็กอย่างเหมาะสม หากผู้ใดฝ่าฝืนย่อมมีโทษทั้งทางปกครองและทางอาญา นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองเด็กเพื่อดำเนินการและให้คำปรึกษาแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกด้วย
ส่งเสริมความเท่าเทียม
กฎหมายคุ้มครองเด็กมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำและส่งเสริมความเท่าเทียมในสังคม โดยกำหนดให้เด็กทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ไม่มีการเลือกปฏิบัติไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ กฎหมายนี้ยังให้ความสำคัญกับเด็กที่อยู่ในภาวะยากลำบากหรือด้อยโอกาส โดยกำหนดให้รัฐต้องให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนเป็นพิเศษ เพื่อให้เด็กเหล่านี้สามารถเข้าถึงสิทธิและโอกาสต่างๆ ได้อย่างเท่าเทียมกับเด็กคนอื่น
ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเด็กในสังคม
ความสำคัญของกฎหมายคุ้มครองเด็กคือช่วยส่งเสริมให้เด็กมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในสังคมที่จะถกเถียงเรื่องที่มีผลกระทบกับตัวเอง การให้เด็กมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเองเป็นการเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเด็ก ส่งเสริมพัฒนาการทางความคิดและจิตใจ และเตรียมความพร้อมให้เด็กเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต
กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการดูแลและพัฒนาเด็ก
กฎหมายคุ้มครองเด็กกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำในการดูแลและพัฒนาเด็กที่ผู้ปกครองต้องปฏิบัติ เพื่อให้เด็กได้รับการเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน และพัฒนาตามสมควร มาตรฐานขั้นต่ำนี้ครอบคลุมถึงปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต การศึกษา สุขภาพ และการพัฒนาทางด้านจิตใจและสังคม เพื่อให้เด็กเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ในอนาคตนั่นเอง
กฎหมายคุ้มครองเด็ก กับบทบาทสำคัญของคนในสังคม
บทบาทสำคัญของคนในสังคมเพื่อลดการละเมิดสิทธิเด็ก คือการร่วมมือกันดูแลและปกป้องเด็กอย่างใกล้ชิด พ่อแม่และผู้ปกครองต้องให้ความรัก ความอบอุ่น และดูแลเด็กด้วยความเอาใจใส่โดยไม่ใช้ความรุนแรง รวมถึงส่งเสริมโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเองตามวัย ชุมชนควรสร้างพื้นที่ปลอดภัย เช่น สนามเด็กเล่น ห้องสมุด หรือกิจกรรมสร้างสรรค์ เพื่อให้เด็กมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต
หากพบเห็นการละเมิดสิทธิเด็ก ทุกคนสามารถแจ้งสายด่วน 1300 หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เด็กได้รับการช่วยเหลือและคุ้มครองอย่างทันท่วงที
สรุป
ประเทศไทยให้ความสำคัญกับกฎหมายคุ้มครองเด็ก เพื่อปกป้องเด็กผ่านพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2546 ซึ่งเป็นกฎหมายหลักที่กำหนดแนวทางการดูแล ป้องกัน และพัฒนาเด็ก เพื่อให้ทุกคนได้รับการปกป้องจากอันตรายและการละเมิดสิทธิอย่างเหมาะสม กฎหมายนี้สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ซึ่งเป็นหลักสากลที่รับรองสิทธิพื้นฐานของเด็กในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการมีชีวิตรอด การได้รับการคุ้มครอง การพัฒนา และการมีส่วนร่วมในสังคม
สิทธิเด็กตามกฎหมายไทยครอบคลุมหลากหลายมิติ ทั้งสิทธิในชีวิต ความปลอดภัย การศึกษา สุขภาพ ไปจนถึงสิทธิในความเป็นส่วนตัวและการแสดงออก โดย พ.ร.บ. คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 ได้เข้ามาช่วยยืนยันและคุ้มครองสิทธิเหล่านี้อย่างเต็มที่ เพื่อให้เด็กทุกคนเติบโตขึ้นมาได้อย่างมีคุณภาพ ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม และมีโอกาสร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน
ร่วมสนับสนุนองค์กรช่วยเหลือเด็กและสตรีผ่านทาง Cheewid องค์กรไม่แสวงหากำไรที่เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงและผู้สนับสนุน เพื่อขับเคลื่อนผลกระทบทางสังคม และเสริมสร้างพลังให้กับองค์กร ร่วมขับเคลื่อนประเด็นสังคมเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการกดขี่สิทธิเด็กในอนาคต
FAQ – คำถามที่พบบ่อย
พบกับคำถามที่พบบ่อย เพื่อไขข้อข้องใจในเรื่องกฎหมายคุ้มครองเด็กเพิ่มเติม
ตามกฎหมาย นักเรียนหมายถึงอะไร?
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 นักเรียนหมายถึงเด็กที่กำลังรับการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ทั้งประเภทสามัญศึกษาและอาชีวศึกษาหรือเทียบเท่า อยู่ในสถานศึกษาของรัฐหรือเอกชน
เยาวชนกับผู้เยาว์ต่างกันอย่างไร?
- เยาวชน เป็นคำที่ใช้กับผู้ที่มีอายุ 15 ปี 1 วัน ถึง 17 ปี 364 วัน (ตามกฎหมายเฉพาะด้าน)
- ผู้เยาว์ เป็นคำในทางกฎหมายแพ่ง ใช้กับผู้ที่อายุไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ (ยกเว้นผู้ที่สมรสแล้ว)
อายุเท่าไรถึงจะแจ้งความได้?
ผู้เยาว์ (อายุต่ำกว่า 20 ปี) สามารถแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ไม่ว่าจะอายุเท่าไรก็ตาม หากเป็นผู้เสียหายจากคดีอาญา ศาลฎีกาได้วินิจฉัยว่า แม้ผู้เยาว์อายุ 18 ปี ก็สามารถร้องทุกข์เองได้โดยไม่ต้องให้ผู้แทนโดยชอบธรรมลงลายมือชื่อร่วมด้วย
References
- สำนักงานวิชาการและส่งเสริมวิชาการ 7. พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546. ecd.onec.go.th. Published 12 November 2022. Retrieved 10 June 2025.
- UNICEF. อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กคืออะไร. unicef.org. Retrieved 10 June 2025.