เข้าสู่ระบบ

Table of Contents
Recent Post
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง
ทางเท้า ก้าวเดินสู่ความเท่าเทียม กับการพัฒนาที่ขับเคลื่อนโดยพลเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จัก ปัญหาทางเท้าที่คนไทยต้องเจอ ทั้งฟุตบาทไม่ทนทาน รถจักรยานยนต์ ร้านค้าบนทางเท้า การออกแบบที่ไม่คิดถึงผู้พิการและผู้สูงอายุ มาสร้างทางเท้าให้ดี เพื่อชีวิตที่ดีกัน!

ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข
ปัญหาคนว่างงาน วิกฤตเงียบและความท้าทายที่สังคมต้องร่วมกันแก้ไข

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักปัญหาว่างงานในมิติทางสังคมและเศรษฐกิจส่งผลกระทบในวงกว้าง ควรมีทางออกเพื่อเสริมพลังและสร้างโอกาสใหม่ให้คนไทยกลับมายืนหยัดและมีชีวิตที่ดีได้อย่างเข้มแข็ง

Key Takeaway นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คือโครงการจากรัฐบาลที่กำหนดให้ประชาชนเดินทางในเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการได้ในราคาเดียวเพียง 20 บาทตลอดสาย เป้าหมายของโครงการคือสร้างความเท่าเทียม ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสให้คนเมืองทุกกลุ่มเข้าถึงการเดินทางอย่างสะดวก ลดปัญหารถติดและมลพิษ ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาชุมชนเมือง โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของรัฐบาล กรุงเทพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการผลักดันจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่มีวิสัยทัศน์ด้านระบบขนส่งมวลชน เชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้าในราคาคงที่ ช่วยให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ความท้าทายของนโยบายนี้ คือความยั่งยืนทางการเงิน ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลชดเชยผู้ประกอบการ และปัญหาการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า ทุกวันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าทีก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เพราะค่าโดยสารที่สะสมไปแต่ละวันไม่ใช่น้อยๆ เลย แต่ลองคิดดูว่า… ถ้าเราเดินทางไกลแค่ไหนก็จ่ายเพียง 20 บาท จะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากขนาดไหน? ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ! บทความนี้พามาเจาะลึกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน เรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งพนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือแม่ค้าพ่อค้า ที่ต้องใช้รถไฟฟ้าเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางทุกวันแน่นอน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คืออะไร? โครงการค่าโดยสาร 20 บาท คือความตั้งใจง่ายๆ ที่อยากให้การเดินทางสาธารณะเป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน พนักงาน หรือผู้สูงอายุ เรื่องนี้เริ่มต้นจากคำถามว่า “ทำไมคนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงหลายระดับ บางทีแค่ไปทำงานหรือไปเรียนใกล้ๆ ก็ต้องจ่ายราคาเต็ม?” แนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวจึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยลดภาระและทำให้ทุกคนได้รับสิทธิ์เดินทางในราคาเท่ากัน ในปี 2567 ได้เริ่มทำโครงการนำร่องในสายสีแดงและสายสีม่วงแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากเลย ส่วนเรื่องการหาเงินมาจ่ายนั้น รัฐบาลไม่ได้แค่รับภาระทั้งหมดเอง แต่มีการแบ่งงบและจัดสรรเงินมาใช้ชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ให้บริการยังสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ขาดทุน กลไกนี้ช่วยให้ความมั่นคงในการเดินรถยังดำเนินไปได้ โดยรัฐจะพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการจริงและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนเป็นธรรมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจว่าจะทำให้คมนาคมสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเดินทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวที่คนทุกวัยทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ทำไมนโยบายนี้ถึงสำคัญกับคนเมือง? ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทุกวัน การเดินทางในเมืองใหญ่จึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน การมีนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองและหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาได้จริง ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายวันได้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนและคนที่ต้องเดินทางประจำ การกำหนดราคาเดียวช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทางไกล เพิ่มโอกาสในการเดินทางและใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายยังช่วยกระตุ้นให้เกิดชุมชนและธุรกิจใหม่ในเขตชานเมือง เพิ่มความสะดวกและคุณภาพชีวิตในเมืองอย่างยั่งยืน ลดปัญหารถติดและมลพิษ นโยบายนี้ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เมื่อประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ปริมาณรถติดก็ลดลงตามไปด้วย ช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การใช้รถไฟฟ้ายังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ที่สำคัญคือทำให้เมืองน่าอยู่ สะอาด และเดินทางได้คล่องตัวมากขึ้นสำหรับทุกคน สร้างเมืองที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน นโยบายนี้ไม่ได้แค่ทำให้ค่าโดยสารถูกลงเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย นักเรียน หรือผู้สูงอายุ ช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมและเป็นธรรม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทาง และทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นคนทุกกลุ่ม เป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของคนในเมืองใหญ่ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน พร้อมส่งเสริมให้คนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น สร้างความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว ความเท่าเทียมในการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเดินทาง เพราะไม่ว่าคนจะขึ้นรถไฟฟ้ากี่สายหรือต้องเดินทางไกลเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็จ่ายค่าโดยสารราคาเดียว ทำให้ทุกคนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือรัฐบาลช่วยชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ เพื่อรักษาคุณภาพบริการและทำให้นโยบายนี้ดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ นโยบายนี้ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพราะราคาค่าโดยสารที่ถูกลงทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่าย ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลยังร่วมมือกับกรุงเทพฯ ในการพัฒนาระบบตั๋วร่วมและฟีดเดอร์ระบบขนส่ง เช่น รถเมล์ที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการใช้งานระบบได้ครบวงจรขึ้น แก้ปัญหารถติด นโยบายนี้เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้ เมื่อค่าโดยสารถูกลง ผู้คนจะหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่วิ่งบนถนนในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร ยังช่วยลดเวลาการเดินทางและความเครียดของผู้ใช้ถนนด้วย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบขนส่งของเมือง ทำให้การเดินทางสะดวกและราบรื่นขึ้นโดยรวมในระยะยาว เชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมือง นโยบายนี้เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจและชุมชนเมืองเติบโตเป็นระบบ การลดค่าเดินทางช่วยเพิ่มกำลังซื้อและโอกาสทางธุรกิจในชุมชนต่างๆ เนื่องจากผู้คนสามารถเดินทางเข้า - ออกเมืองได้สะดวกและบ่อยขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าหลายสายยังช่วยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้ารวดเร็ว ทำให้ชุมชนต่างๆ มีโอกาสพัฒนาไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เบื้องหลังการผลักดันนโยบาย โครงการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพฯ พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่วางแนวนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ในขณะที่กรุงเทพฯ นำโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผลักดันให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น นโยบายรถไฟฟ้ากับชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นหัวใจของชีวิตคนเมือง ร่วมกับการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและมลพิษ พร้อมผลักดันให้โครงการได้ผลจริงในเชิงปฏิบัติ เช่น การเชื่อมโยงเส้นทางและเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคสังคมมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามผล ทำให้นโยบายนี้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองจริงๆ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท… ความท้าทายและคำถามที่ยังคงอยู่ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แม้จะได้รับการตอบรับอย่างดีและช่วยลดภาระค่าโดยสารของประชาชน แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนทางการเงินหลักๆ เพราะรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ แต่จากการศึกษาพบว่า… ต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายหลักอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อเที่ยว ทำให้นโยบายนี้เป็นไปได้ถ้าบริหารจัดการดีและมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่มั่นคง เช่น การใช้รายได้ภาษีจากภาคขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า โดยเฉพาะสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้และผลประโยชน์ของภาคเอกชน ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนและการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล ปัญหานี้ยังเป็นอุปสรรคที่ต้องเจรจาและหาข้อตกลงร่วมที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทางเลือกและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนานโยบายในอนาคต ได้แก่ การผลักดันกฎหมายตั๋วร่วมเพื่อให้ใช้บริการได้ด้วยบัตรเดียวทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทให้เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความมั่นคงและเข้าถึงได้ง่ายในระยะยาว สรุป นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคนเมือง ทำให้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ช่วยเชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมแก้ไขปัญหารถติดและมลพิษ เพิ่มคุณภาพชีวิตคนเมืองอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกรุงเทพฯ และภาคประชาสังคม ซึ่งบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมและติดตามนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง FAQ – คำถามที่พบบ่อย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทครอบคลุมทุกสายไหม? โครงการนี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) สายสีน้ำเงิน (MRT) สายสีเหลือง สายสีชมพู และ Airport Rail Link (ARL) รวมรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงที่ทำไปแล้วทั้งหมด 8 สาย รวม 13 เส้นทางและกว่า 194 สถานีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางในราคาคงที่เพียง 20 บาทตลอดสาย แม้ต้องเปลี่ยนสายก็จะไม่เกินราคานี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งผลต่อปัญหารถติดในกรุงเทพฯ อย่างไร? นโยบายนี้ช่วยลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เพราะราคาค่าโดยสารถูกลง คุณภาพชีวิตและการเดินทางจึงดีขึ้น ลดความหนาแน่นของการจราจรในช่วงเร่งด่วนได้ ประชาชนมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายนี้ได้อย่างไร? ประชาชนสามารถร่วมลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ และใช้บัตร EMV Contactless หรือบัตร Rabbit แบบ ABT เพื่อยืนยันตัวตน ร่วมกันใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการของระบบขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้นต่อไป
อนาคตเข้าถึงได้! นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท โครงการเปลี่ยนชีวิตคนเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามาเจาะลึกกับนโยบายรถไฟฟ้า20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน

ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน
ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักจากเสียงประชาชนสู่การแก้ไขจริง! Traffy Fondue คือระบบร้องเรียนของ กทม. นำเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวกรุงให้ดีขึ้น

ชวนมาเรียนรู้แนวคิด McKinsey 7-S Model

CHEEWID อยากชวนองค์กรทำงานเพื่อสังคมมาเรียนรู้เครื่องมือสำหรับใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กรด้วย McKinsey 7-S model
Table of Contents

McKinsey 7-S model ของ McKinsey Consulting สามารถใช้แก้ปัญหาด้านประสิทธิภาพการทำงานส่วนใหญ่ภายในองค์กรหรือทีมงาน ที่เกิดจากความขัดข้องจากการทำงานในบางส่วนหรือความไม่ลงรอยระหว่างกัน ซึ่งเราสามารถใช้โมเดลนี้เพื่อค้นหาต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้น และหาวิธีจัดการกับปัญหาเหล่านั้น เพื่อให้องค์กรหรือทีมงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

จะใช้ 7-S Model จัดการสถานการณ์ภายในองค์กรของเราได้บ้าง?

7-S Model ของ McKinsey สามารถใช้ได้กับองค์ประกอบต่างๆ ของทีมงาน ไม่ว่าจะเป็นบุคคล อุปกรณ์ หรือแผนการทำงาน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะมุ่งเน้นการใช้งานไปที่ส่วนใดเป็นหลัก ซึ่งส่วนมากจะใช้ในเรื่องต่อไปนี้

  • พัฒนาประสิทธิภาพการทำงานภายในองค์กร
  • วิเคราะห์และคาดการณ์ผลลัพธ์บางประการที่อาจจะเกิดขึ้นกับบริษัทในอนาคต
  • จัดการแผนกหรือส่วนต่างๆ ขององค์กรหลังจากที่มีการควบรวมหรือการซื้อต่อกิจการ
  • เลือกการดำเนินการที่เหมาะสมที่สุด ที่จะใช้ในแผนการต่างๆ

4 แนวทางเพื่อทำความเข้าใจ McKinsey 7-S Model

4 แนวทางเพื่อทำความเข้าใจ McKinsey 7-S Model ก่อนนำไปใช้กับองค์กรและทีมงาน

ก่อนที่จะนำ McKinsey 7-S Model ไปใช้กับองค์กรและทีมงาน เราได้สรุป 4 แนวทาง เพื่อช่วยให้ทำความเข้าใจแนวคิดนี้ และได้สร้าง Template สำหรับนำไปใช้งานได้ง่ายขึ้น ดังนี้

  1. เข้าใจแนวคิดพื้นฐาน รายละเอียดของ McKinsey 7S และใช้แนวทางคำถามที่เราทำไว้ เพื่อพิจารณาสถานะปัจจุบัน (Organization Current State) ขององค์กรและทีมงาน
  2. แยกความแตกต่างระหว่าง ปัจจัยรูปธรรม (Hard Elements) และปัจจัยนามธรรม (Soft Elements)
  3. กำหนดสถานะเป้าหมายขององค์กร (Organization Target State) โดยศึกษาจากองค์กรอื่นที่ประสบความสำเร็จในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมหรือการเปลี่ยนแปลงองค์กร (Market Research)
  4. กำหนดการเปลี่ยนแปลงที่องค์กรควรมี ให้ทบทวนกรอบงาน 7S อย่างต่อเนื่อง เพื่อเข้าใจช่องว่างระหว่างปัจจุบันกับเป้าหมาย และสร้างแผนปฏิบัติการ (Action Plan)

รายละเอียดของ McKinsey 7-S Model

รายละเอียดของ McKinsey 7-S Model

McKinsey 7-S Model ประกอบไปด้วยปัจจัยทั้ง 7 ข้อ ที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงองค์กร ได้แก่

  • กลยุทธ์ (Strategy) แผนการสำหรับการดำเนินการต่างๆ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันหรือสร้างแรงผลักดันให้กับองค์กร
  • โครงสร้าง (Structure) โครงสร้างขององค์กรที่ระบุตำแหน่งและหน้าที่ของแต่ละคน รวมไปถึงใครจะต้องทำงานร่วมกับใครและรับคำสั่งจากใคร
  • โครงสร้างระบบ (Systems) การดำเนินงานในแต่ละวันของแต่ละหน้าที่ รวมไปถึงขั้นตอนการทำงานเพื่อให้งานที่ทำร่วมกัน สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
  • สไตล์ (Style) ลักษณะของการปกครองและการวางตัวของผู้นำองค์กร
  • บุคคล (Staff) บุคลากรทุกคนที่ทำงานให้องค์กร แผนการจัดบุคลากร และการบริหารจัดการคน (Talent Management)
  • ความสามารถ (Skills) ความสามารถในภาพรวมของบุคลากร และความสามารถขององค์กรในการประกอบการต่างๆ
  • ค่านิยมร่วม (Shared Values) เราอาจเรียกสิ่งนี้ว่า “เป้าหมายสูงสุดขององค์กร” ซึ่งในตัวของปัจจัยนี้แต่ละคนทั้งคนภายในและภายนอกองค์กรมักมีมุมมองที่ไม่เหมือนกัน แต่จุดร่วมของปัจจัยนี้ก็คือทุกๆ คนจะสามารถได้รับประโยชน์สูงสุดจากความสำเร็จขององค์กรได้อย่างไร

McKinsey 7-S Model ทั้ง 7 ข้อ อาจจะแยกเป็นอิสระจากกันหรืออาจจะมีความเกี่ยวข้องกันบางประการ (ขึ้นอยู่กับลักษณะการนำไปใช้งาน) โดยแบ่งปัจจัยทั้ง 7 ข้อออกเป็นสองส่วน ได้แก่ “hard ปัจจัยรูปธรรม” กับ “soft ปัจจัยนามธรรม”

ข้อแตกต่างระหว่าง Hard และ Soft Elements

ข้อแตกต่างระหว่าง Hard และ Soft Elements ตามปัจจัยแรงผลักดัน

Hard Elements

“Hard ปัจจัยรูปธรรม” ปัจจัยเหล่านี้เป็น ปัจจัยที่มีลักษณะเหมือนสิ่งของหรือองค์ประกอบที่สามารถจับต้องได้ สามารถแก้ไขหรือปรับปรุงได้โดยตรงหากต้องการ และเมื่อทำการแก้ไขหรือปรับปรุงแล้ว องค์ประกอบเหล่านี้จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ซึ่งหากจะยกตัวอย่างของสิ่งที่จัดเป็นปัจจัยรูปธรรมก็อย่างเช่น กำหนดการณ์การดำเนินงาน ผังแสดงโครงสร้างองค์กร รายงานผลประกอบการ บันทึกหรือระเบียบขั้นตอนการทำงาน รวมไปถึงระบบจัดการด้านสาธารณูปโภคต่างๆ (น้ำประปา ไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ) 

  1. กลยุทธ์ (Strategy)
  2. โครงสร้าง (Structure)
  3. โครงสร้างระบบ (Systems)

Soft Elements

“Soft ปัจจัยนามธรรม” ปัจจัยนามธรรมนั้นส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับส่วนของความรู้สึกของผู้คน มักเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้หรือในบางกรณีก็มักจะเป็นปัจจัยที่เกิดมาจากผลกระทบของสภาพแวดล้อม วัฒนธรรม และประเพณีของผู้คนในท้องที่นั้นๆ ปัจจัยในส่วนนี้จะแตกต่างจากปัจจัยรูปธรรมค่อนข้างมาก แต่มีความสำคัญเท่ากันในแง่ของการจัดการองค์กร

  1. สไตล์ (Style)
  2. บุคคล (Staff)
  3. ความสามารถ (Skills)
  4. ค่านิยมร่วม (Shared Values)

แนวทางคำถามในการใช้แนวคิด McKinsey 7-S Model วิเคราะห์องค์กร

เมื่อเข้าใจรายละเอียดของ McKinsey 7-S Framework และความแตกต่างระหว่าง Hard ปัจจัยรูปธรรม และ Soft ปัจจัยนามธรรม ให้ตอบคำถามที่เตรียมไว้ใน Template ทั้ง 2 ดังต่อไปนี้

 

Template คำถามสำหรับวิเคราะห์องค์กรด้วย McKinsey 7-S Framework

Template คำถามสำหรับวิเคราะห์องค์กรด้วย McKinsey 7-S Framework

ปัจจัยรูปธรรม (Hard Elements)

  • องค์ประกอบที่จับต้องได้ คืออะไร?
  • ผู้บริหารสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้โดยตรงหรือไม่?
  • มีการจดบันทึกรายงาน หรือเอกสารอ้างอิงหรือไม่?

ปัจจัยนามธรรม (Soft Elements)

  • องค์ประกอบที่จับต้องยากและต้องสัมผัสด้วยประสบการณ์มีอะไรบ้าง?
  • ปัจจัยที่ทำให้วัฒนธรรมองค์กร เป็นเครื่องมือสร้างการเปลี่ยนแปลงคืออะไร?

 

Template คำถามสำหรับวิเคราะห์องค์กรด้วย McKinsey 7-S Framework

Template คำถามสำหรับวิเคราะห์องค์กรด้วย McKinsey 7-S Framework

McKinsey 7S Framework

  1. กลยุทธ์ (Strategy) 
    • แผนการดำเนินงานของเราคืออะไร?
    • เราจะทำเป้าหมายของเราให้สำเร็จได้อย่างไร?
    • เราจะจัดการความกดดันจากการแข่งขันอย่างไร?
    • เราตอบรับต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างไร?
    • เราจะปรับเปลี่ยนแผนการตามสภาพแวดล้อมอย่างไร?
  2. โครงสร้าง (Structure) 
    • เราจะแบ่งองค์ประกอบหรือแผนกการทำงานขององค์กรอย่างไร?
    • เราจะปกครองคนในองค์กรด้วยระบบไหน?
    • แต่ละแผนกหรือภาคส่วนจะมีกิจกรรมหรือการดำเนินการร่วมกันอย่างไร?
  3. โครงสร้างระบบ (Systems) 
    • ระบบการทำงานหลักขององค์กรคืออะไร?
    • ใครคือผู้ควบคุมระบบเหล่านี้?
  4. สไตล์ (Style) 
    • สไตล์การบริหารที่ใช้อยู่เหมาะสมกับองค์กรมากน้อยแค่ไหน?
    • ความเป็นผู้นำของผู้บริหารส่งผลต่อการดำเนินงานแค่ไหน?
    • บุคลากรมีลักษณะที่ชอบการแข่งขันหรือให้ความร่วมมือ?
  5. บุคคล (Staff) 
    • มีตำแหน่งงานที่เหมาะสมแก่บุคลากรลงในตำแหน่งไหม?
    • องค์กรยังขาดบุคลากรด้านไหน?
    • มีความเหลื่อมล้ำระหว่างบุคลากรภายในองค์กรไหม?
  6. ความสามารถ (Skills) 
    • ความสามารถที่เป็นจุดเด่นขององค์กรคืออะไร?
    • สิ่งที่บุคลากรมองว่าพวกเขาสามารถทำได้ดีคืออะไร?
  7. ค่านิยมร่วม (Shared Values)
    • ระบบการทำงานหลักขององค์กรคืออะไร?
    • ใครคือผู้ควบคุมระบบเหล่านี้?

เมื่อตอบคำถามทั้งหมด ควรทำการวิจัยหรือเปรียบเทียบกับองค์กรอื่นที่คล้ายคลึงกัน (วิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกทางการตลาด หรือ Market Research) เกี่ยวกับวิธีการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงหรือวัฒนธรรมองค์กร เพื่อระบุปัจจัยที่ส่งผลต่อเป้าหมายขององค์กร

ซึ่งคำถามเหล่านี้เป็นเพียงแนวทางหนึ่งเท่านั้น องค์กรสามารถปรับแต่งคำถามให้เหมาะสมกับเนื้อหาและบริบทได้ตามเหมาะสม

เริ่มทำแผนงานเพื่อเปลี่ยนแปลงองค์กร

Template สำหรับการวาง Framework เพื่อการเปลี่ยนแปลง

Template สำหรับการวาง Framework เพื่อการเปลี่ยนแปลง

สรุป

อย่างไรก็ตาม McKinsey 7-S Model ไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จ แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อช่วยให้พัฒนาองค์กรให้ไปถึงเป้าหมายได้ จะดีกว่านี้หากองค์กรใช้แนวคิดหรือเครื่องมืออื่นๆ ร่วมด้วย

หากสนใจเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาองค์กร สามารถดูเพิ่มเติมได้ทาง Facebook page Cheewid https://bit.ly/4aXrD5g แล้วถ้าต้องการใช้เอกสารสำหรับนำไปพูดคุยกับคนในองค์กรสามารถดาวโหลดได้ที่ https://bit.ly/3dgBIRU 

ทำความรู้จักเรามากขึ้น

Logo_Square

Cheewid

แพลตฟอร์มองค์กรระบบคลาวด์ที่สนับสนุนองค์กรเพื่อสังคม เราเพิ่มโอกาสในความเท่าเทียมสำหรับนวัตกรรมทางสังคม และร่วมเป็นผู้รับรู้การเปลี่ยนแปลงทางสังคม