เข้าสู่ระบบ

Table of Contents
Recent Post
Key Takeaway นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คือโครงการจากรัฐบาลที่กำหนดให้ประชาชนเดินทางในเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าร่วมโครงการได้ในราคาเดียวเพียง 20 บาทตลอดสาย เป้าหมายของโครงการคือสร้างความเท่าเทียม ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสให้คนเมืองทุกกลุ่มเข้าถึงการเดินทางอย่างสะดวก ลดปัญหารถติดและมลพิษ ส่งเสริมเศรษฐกิจและพัฒนาชุมชนเมือง โครงการนี้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของรัฐบาล กรุงเทพฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการผลักดันจากผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่มีวิสัยทัศน์ด้านระบบขนส่งมวลชน เชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้าในราคาคงที่ ช่วยให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม ความท้าทายของนโยบายนี้ คือความยั่งยืนทางการเงิน ที่ต้องใช้งบประมาณมหาศาลชดเชยผู้ประกอบการ และปัญหาการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า ทุกวันนี้ขึ้นรถไฟฟ้าทีก็ต้องถอนหายใจเบาๆ เพราะค่าโดยสารที่สะสมไปแต่ละวันไม่ใช่น้อยๆ เลย แต่ลองคิดดูว่า… ถ้าเราเดินทางไกลแค่ไหนก็จ่ายเพียง 20 บาท จะช่วยประหยัดค่าเดินทางได้มากขนาดไหน? ประชาชนได้ประโยชน์เต็มๆ! บทความนี้พามาเจาะลึกนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน เรื่องนี้จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของผู้คน ทั้งพนักงานออฟฟิศ นักศึกษา หรือแม่ค้าพ่อค้า ที่ต้องใช้รถไฟฟ้าเป็นเส้นทางหลักในการเดินทางทุกวันแน่นอน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท คืออะไร? โครงการค่าโดยสาร 20 บาท คือความตั้งใจง่ายๆ ที่อยากให้การเดินทางสาธารณะเป็นเรื่องใกล้ตัวและเข้าถึงได้สำหรับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน พนักงาน หรือผู้สูงอายุ เรื่องนี้เริ่มต้นจากคำถามว่า “ทำไมคนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงหลายระดับ บางทีแค่ไปทำงานหรือไปเรียนใกล้ๆ ก็ต้องจ่ายราคาเต็ม?” แนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวจึงเกิดขึ้น เพื่อช่วยลดภาระและทำให้ทุกคนได้รับสิทธิ์เดินทางในราคาเท่ากัน ในปี 2567 ได้เริ่มทำโครงการนำร่องในสายสีแดงและสายสีม่วงแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากเลย ส่วนเรื่องการหาเงินมาจ่ายนั้น รัฐบาลไม่ได้แค่รับภาระทั้งหมดเอง แต่มีการแบ่งงบและจัดสรรเงินมาใช้ชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถโดยสารเอกชนอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้ให้บริการยังสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ขาดทุน กลไกนี้ช่วยให้ความมั่นคงในการเดินรถยังดำเนินไปได้ โดยรัฐจะพิจารณาจากจำนวนผู้ใช้บริการจริงและค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น เพื่อให้การสนับสนุนเป็นธรรมและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากความตั้งใจว่าจะทำให้คมนาคมสาธารณะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสเดินทางและพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน นั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดค่าโดยสารราคาเดียวที่คนทุกวัยทุกกลุ่มเข้าถึงได้จริง ทำไมนโยบายนี้ถึงสำคัญกับคนเมือง? ในยุคที่ค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทุกวัน การเดินทางในเมืองใหญ่จึงส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของทุกคน การมีนโยบายที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่หลายคนจับตามองและหวังว่าจะช่วยแบ่งเบาได้จริง ลดค่าครองชีพ เพิ่มโอกาสการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยลดค่าใช้จ่ายรายวันได้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนและคนที่ต้องเดินทางประจำ การกำหนดราคาเดียวช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลเรื่องค่าเดินทางไกล เพิ่มโอกาสในการเดินทางและใช้ระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ นโยบายยังช่วยกระตุ้นให้เกิดชุมชนและธุรกิจใหม่ในเขตชานเมือง เพิ่มความสะดวกและคุณภาพชีวิตในเมืองอย่างยั่งยืน ลดปัญหารถติดและมลพิษ นโยบายนี้ไม่ได้แค่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋า แต่ยังลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เมื่อประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น ปริมาณรถติดก็ลดลงตามไปด้วย ช่วยลดมลพิษทางอากาศ โดยเฉพาะฝุ่น PM 2.5 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน การใช้รถไฟฟ้ายังช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้พลังงานฟอสซิล ที่สำคัญคือทำให้เมืองน่าอยู่ สะอาด และเดินทางได้คล่องตัวมากขึ้นสำหรับทุกคน สร้างเมืองที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคน นโยบายนี้ไม่ได้แค่ทำให้ค่าโดยสารถูกลงเท่านั้น แต่เป็นการลงทุนเพื่อสร้างเมืองที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย นักเรียน หรือผู้สูงอายุ ช่วยเปิดโอกาสให้ประชาชนทุกกลุ่มสามารถเดินทางได้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย ทั้งยังส่งเสริมให้เกิดการเชื่อมโยงทุกสายรถไฟฟ้า สร้างระบบขนส่งมวลชนที่ครอบคลุมและเป็นธรรม ช่วยลดความเหลื่อมล้ำด้านการเดินทาง และทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นคนทุกกลุ่ม เป้าหมายของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท นโยบายนี้เกิดขึ้นเพื่อช่วยลดภาระค่าเดินทางของคนในเมืองใหญ่ที่ต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นทุกวัน พร้อมส่งเสริมให้คนใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น สร้างความสะดวกและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในระยะยาว ความเท่าเทียมในการเดินทาง นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ช่วยสร้างความเท่าเทียมในการเดินทาง เพราะไม่ว่าคนจะขึ้นรถไฟฟ้ากี่สายหรือต้องเดินทางไกลเท่าไร ไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มไหนก็จ่ายค่าโดยสารราคาเดียว ทำให้ทุกคนเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย ที่สำคัญคือรัฐบาลช่วยชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ เพื่อรักษาคุณภาพบริการและทำให้นโยบายนี้ดำเนินไปได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะ นโยบายนี้ช่วยกระตุ้นให้ประชาชนหันมาใช้ขนส่งสาธารณะมากขึ้น เพราะราคาค่าโดยสารที่ถูกลงทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและเข้าถึงง่าย ทำให้ระบบขนส่งสาธารณะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐบาลยังร่วมมือกับกรุงเทพฯ ในการพัฒนาระบบตั๋วร่วมและฟีดเดอร์ระบบขนส่ง เช่น รถเมล์ที่เชื่อมโยงกับรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและการใช้งานระบบได้ครบวงจรขึ้น แก้ปัญหารถติด นโยบายนี้เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ ได้ เมื่อค่าโดยสารถูกลง ผู้คนจะหันมาใช้รถไฟฟ้ากันมากขึ้น ลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวที่วิ่งบนถนนในช่วงชั่วโมงเร่งด่วน นอกจากจะช่วยลดความหนาแน่นของการจราจร ยังช่วยลดเวลาการเดินทางและความเครียดของผู้ใช้ถนนด้วย ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบขนส่งของเมือง ทำให้การเดินทางสะดวกและราบรื่นขึ้นโดยรวมในระยะยาว เชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมือง นโยบายนี้เป็นตัวเร่งให้เศรษฐกิจและชุมชนเมืองเติบโตเป็นระบบ การลดค่าเดินทางช่วยเพิ่มกำลังซื้อและโอกาสทางธุรกิจในชุมชนต่างๆ เนื่องจากผู้คนสามารถเดินทางเข้า - ออกเมืองได้สะดวกและบ่อยขึ้น นอกจากนี้ การเชื่อมต่อโครงข่ายรถไฟฟ้าหลายสายยังช่วยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายแรงงานและสินค้ารวดเร็ว ทำให้ชุมชนต่างๆ มีโอกาสพัฒนาไปพร้อมกันอย่างยั่งยืนและลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เบื้องหลังการผลักดันนโยบาย โครงการนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นผลลัพธ์ของความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพฯ พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายภาคส่วน รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมทำหน้าที่วางแนวนโยบายและจัดสรรงบประมาณ ในขณะที่กรุงเทพฯ นำโดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผลักดันให้ระบบขนส่งมีประสิทธิภาพและเข้าถึงประชาชนมากขึ้น นโยบายรถไฟฟ้ากับชัชชาติในฐานะผู้ว่าฯ กรุงเทพฯ มีวิสัยทัศน์ชัดเจนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้เป็นหัวใจของชีวิตคนเมือง ร่วมกับการส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและมลพิษ พร้อมผลักดันให้โครงการได้ผลจริงในเชิงปฏิบัติ เช่น การเชื่อมโยงเส้นทางและเพิ่มความสะดวกในการใช้บริการ ทั้งยังเปิดโอกาสให้ประชาชนและภาคสังคมมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและติดตามผล ทำให้นโยบายนี้กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวและตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองจริงๆ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท… ความท้าทายและคำถามที่ยังคงอยู่ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แม้จะได้รับการตอบรับอย่างดีและช่วยลดภาระค่าโดยสารของประชาชน แต่ก็ยังเผชิญความท้าทายด้านความยั่งยืนทางการเงินหลักๆ เพราะรัฐต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลในการชดเชยค่าโดยสารให้กับผู้ประกอบการ แต่จากการศึกษาพบว่า… ต้นทุนการเดินรถไฟฟ้าสายหลักอยู่ที่ประมาณ 11 บาทต่อเที่ยว ทำให้นโยบายนี้เป็นไปได้ถ้าบริหารจัดการดีและมีแหล่งเงินทุนสนับสนุนที่มั่นคง เช่น การใช้รายได้ภาษีจากภาคขนส่งและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือการจัดการสัมปทานรถไฟฟ้า โดยเฉพาะสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่มีข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบริหารจัดการรายได้และผลประโยชน์ของภาคเอกชน ซึ่งส่งผลต่อการวางแผนและการดำเนินนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาล ปัญหานี้ยังเป็นอุปสรรคที่ต้องเจรจาและหาข้อตกลงร่วมที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย ทางเลือกและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนานโยบายในอนาคต ได้แก่ การผลักดันกฎหมายตั๋วร่วมเพื่อให้ใช้บริการได้ด้วยบัตรเดียวทั่วประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงส่งเสริมการบูรณาการระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทให้เชื่อมโยงกันอย่างราบรื่น เพื่อให้ระบบขนส่งสาธารณะมีความมั่นคงและเข้าถึงได้ง่ายในระยะยาว สรุป นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของคนเมือง ทำให้การเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะเป็นเรื่องง่ายและเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน ช่วยเชื่อมโยงเศรษฐกิจและชุมชนเมืองอย่างทั่วถึง พร้อมแก้ไขปัญหารถติดและมลพิษ เพิ่มคุณภาพชีวิตคนเมืองอย่างยั่งยืน ความสำเร็จของโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลกรุงเทพฯ และภาคประชาสังคม ซึ่งบทบาทของประชาชนในการมีส่วนร่วมและติดตามนโยบายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ระบบขนส่งมวลชนเติบโตและพัฒนาต่อไปอย่างมั่นคง FAQ – คำถามที่พบบ่อย โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทครอบคลุมทุกสายไหม? โครงการนี้ครอบคลุมรถไฟฟ้าสายสีเขียว (BTS) สายสีน้ำเงิน (MRT) สายสีเหลือง สายสีชมพู และ Airport Rail Link (ARL) รวมรถไฟฟ้าสายสีม่วงและสายสีแดงที่ทำไปแล้วทั้งหมด 8 สาย รวม 13 เส้นทางและกว่า 194 สถานีในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ประชาชนสามารถเดินทางในราคาคงที่เพียง 20 บาทตลอดสาย แม้ต้องเปลี่ยนสายก็จะไม่เกินราคานี้ นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ส่งผลต่อปัญหารถติดในกรุงเทพฯ อย่างไร? นโยบายนี้ช่วยลดจำนวนรถยนต์ส่วนตัวบนท้องถนน เพราะราคาค่าโดยสารถูกลง คุณภาพชีวิตและการเดินทางจึงดีขึ้น ลดความหนาแน่นของการจราจรในช่วงเร่งด่วนได้ ประชาชนมีส่วนช่วยสนับสนุนนโยบายนี้ได้อย่างไร? ประชาชนสามารถร่วมลงทะเบียนรับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน ‘ทางรัฐ’ และใช้บัตร EMV Contactless หรือบัตร Rabbit แบบ ABT เพื่อยืนยันตัวตน ร่วมกันใช้ระบบขนส่งสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงคุณภาพบริการของระบบขนส่งสาธารณะให้ดีขึ้นต่อไป
อนาคตเข้าถึงได้! นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท โครงการเปลี่ยนชีวิตคนเมือง

บทความนี้ CHEEWID จะพามาเจาะลึกกับนโยบายรถไฟฟ้า20 บาท ที่รัฐบาลผลักดัน นโยบายที่ช่วยลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงการเดินทางของประชาชน

ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน
ฟองดูว์กทม. (Traffy Fondue) เปลี่ยนสังคมเมืองด้วยพลังประชาชน

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักจากเสียงประชาชนสู่การแก้ไขจริง! Traffy Fondue คือระบบร้องเรียนของ กทม. นำเทคโนโลยีมาใช้แก้ไขปัญหา เพิ่มคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ของชาวกรุงให้ดีขึ้น

ปัญหาขยะในทะเล ภัยเงียบทำลายทะเลไทยที่สังคมควรตระหนัก
ปัญหาขยะในทะเล ภัยเงียบทำลายทะเลไทยที่สังคมควรตระหนัก

บทความนี้ CHEEWID จะพามารู้จักปัจจุบันปัญหาขยะในทะเลไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นภัยเงียบที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตสัตว์และระบบนิเวศใต้ทะเลอย่างมาก พร้อมอธิบายวิธีแก้ปัญหา ลดขยะในทะเล

กฎหมายคุ้มครองเด็กในประเทศไทย กับการแก้ปัญหาความรุนแรง
กฎหมายคุ้มครองเด็กในประเทศไทย กับการแก้ปัญหาความรุนแรง

บทความนี้ CHEEWID จะพาทุกคนมารู้จักเจาะลึกประเด็นสำคัญของกฎหมายคุ้มครองเด็กในประเทศไทย ทำความเข้าใจสิทธิพื้นฐานที่เด็กควรได้รับตามหลักสากล แล้วมาดูตัวอย่างการละเมิดสิทธิเด็กที่พบได้ในสังคม

ภาษีผ้าอนามัยคืออะไร? ทำไมจึงเป็นประเด็นด้านความเท่าเทียมทางเพศ

บทความนี้ CHEEWID จะพาทุกคนมารู้จักภาษีผ้าอนามัย (pink tax) คือภาษีที่เรียกเก็บจากผลิตภัณฑ์สุขอนามัยผู้หญิงซึ่งเป็นสินค้าจำเป็น ก่อให้เกิดข้อถกเถียง การยกเลิกช่วยลดค่าใช้จ่ายและส่งเสริมความเป็นธรรม
ภาษีผ้าอนามัยคืออะไร? ทำไมจึงเป็นประเด็นด้านความเท่าเทียมทางเพศ
Table of Contents

 

Key Takeaway

  • ภาษีผ้าอนามัยคือภาษีที่เก็บจากผ้าอนามัย ซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นสำหรับผู้มีประจำเดือน โดยปกติจะจัดอยู่ในหมวดสินค้าที่มีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
  • ภาษีผ้าอนามัยเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีประจำเดือน ทำให้เข้าถึงผ้าอนามัยยากขึ้นและสะท้อนความไม่เท่าเทียมทางเพศ
  • ตัวอย่างการเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิกภาษีผ้าอนามัย ได้แก่ แคมเปญ #FreePeriods ในสหราชอาณาจักร และในไทย เช่น #Saveผ้าอนามัย #ผ้าอนามัยไม่มีภาษี และ #DontBleedMyPurse

ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาทำความเข้าใจกับประเด็นสำคัญเกี่ยวกับการเก็บภาษีผ้าอนามัย ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของภาษีเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อผู้บริโภคและสังคมอย่างกว้างขวาง มาดูกันว่าเรื่องนี้มีผลอย่างไร และทำไมถึงกลายเป็นประเด็นที่หลายคนต้องใส่ใจ

ภาษีผ้าอนามัย (Pink Tax) คืออะไร?

ภาษีผ้าอนามัย (Pink Tax) คืออะไร?

ภาษีผ้าอนามัย (Tampon Tax) หรือที่เรียกกันในเชิงเสียดสีว่า “Pink Tax” คือภาษีที่เก็บจากสินค้าสำหรับผู้หญิง เช่น ผ้าอนามัย ซึ่งถูกจัดในหมวดหมู่สินค้าที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีอัตราภาษีที่ต่างกันในแต่ละประเทศ บางประเทศจัดผ้าอนามัยเป็นสินค้าจำเป็นพื้นฐานและยกเว้นภาษี ขณะที่บางประเทศจัดให้เป็นสินค้าทั่วไป เวชภัณฑ์ หรือสินค้าฟุ่มเฟือย ทำให้ต้องเสียภาษีสูงขึ้น

ข้อมูลจากกรมการค้าภายในของไทยระบุว่า ผ้าอนามัยเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีการติดตามราคาและสถานการณ์เพื่อป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภคทุกปักษ์ (15 วัน)

ปัญหาภาษีผ้าอนามัยที่ส่งผลต่อผู้บริโภคและสังคม

ปัญหาภาษีผ้าอนามัยที่ส่งผลต่อผู้บริโภคและสังคม

ภาษีผ้าอนามัยเป็นประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและสังคมในหลายด้าน ซึ่งไม่ได้แค่เกี่ยวข้องกับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น แต่ยังสะท้อนถึงปัญหาความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิมนุษยชนในสังคมด้วย ในหัวข้อนี้จะมาเจาะลึกกันว่าภาษีผ้าอนามัยส่งผลกระทบในด้านต่างๆ อย่างไรบ้าง

ภาระทางค่าใช้จ่าย

ผู้มีประจำเดือนใช้ผ้าอนามัยประมาณ 20 ชิ้นต่อเดือน หรือประมาณ 240 ชิ้นต่อปี ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ที่ถูกคิดเพิ่มในราคาผ้าอนามัยทำให้ผู้มีประจำเดือนต้องใช้จ่ายอย่างน้อยปีละ 1,512 บาท สำหรับผ้าอนามัย และอาจต้องเสียค่าใช้จ่ายรวมถึง 40,000 บาทตลอดชีวิตในการซื้อผ้าอนามัย

โดยราคาผ้าอนามัยแต่ละชนิดขึ้นอยู่กับลักษณะและคุณสมบัติพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ปัญหาของการมีประจำเดือน เช่น ความบาง กลิ่นหอม ความเย็น เทคโนโลยีระบายกลิ่นอับ ลวดลาย มีปีกหรือไม่มีปีก ถนอมจุดซ่อนเร้นหรือสําหรับคนแพ้ง่าย

ในส่วนของราคานั้นผ้าอนามัยสำหรับกลางวันมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 2-5 บาทต่อชิ้น ส่วนแบบกลางคืนจะมีราคาสูงขึ้นเล็กน้อยมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 4-10 บาทต่อชิ้น และแผ่นอนามัยมีราคาราคาเฉลี่ย 2-3 บาทต่อชิ้น ขณะที่ผ้าอนามัยชนิดสอดมีราคาสูงกว่า ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 8-10 บาทต่อชิ้น

ความไม่เท่าเทียมทางเพศ

ประจำเดือนเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ จากงานวิจัยของ รศ.พรรณพิไล ศรีอาภรณ์ อาจารย์ประจำภาควิชาการพยาบาลสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ระบุว่าประจำเดือนคือเลือดที่ไหลออกจากโพรงมดลูกพร้อมเยื่อบุโพรงมดลูกที่ตายแล้วในทุกๆ 21-36 วัน ครั้งละ 3-5 วัน ปริมาณเลือดที่ออกมีประมาณ 30-100 มิลลิลิตร โดยผู้หญิงจะใช้ผ้าอนามัย 3-4 ชิ้นต่อวัน

อย่างไรก็ตามผ้าอนามัยซึ่งเป็นสินค้าพื้นฐานที่ผู้หญิงและผู้มีประจำเดือนทุกคนต้องใช้ กลับยังถูกเก็บภาษีผ้าอนามัยและมักถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่ที่ไม่เหมาะสม การที่ต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผ้าอนามัยจึงเหมือนกับการถูกเลือกปฏิบัติ เพราะต้องเสียเงินเพิ่มจากสิ่งที่เป็นความจำเป็นตามธรรมชาติที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งสะท้อนถึงการไม่ให้ความสำคัญต่อความหลากหลายทางเพศในประเทศนี้ด้วย

คนบางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงสินค้า

กลุ่มคนบางกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงผ้าอนามัยได้เพราะปัญหาด้านการเงิน การมีภาษีสีชมพูจึงอาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตประจำวัน เช่น เด็กหลายคนต้องขาดเรียนเพราะไม่มีผ้าอนามัยใช้ บางคนต้องเลือกว่าจะซื้อข้าวหรือผ้าอนามัย หรือในเรือนจำหญิงที่มีผ้าอนามัยไม่เพียงพอและไม่มีคุณภาพ นอกจากนี้พนักงานโรงงานที่มีรายได้ต่ำจำนวนมากต้องใช้งานผ้าอนามัยให้น้อยแผ่นต่อวัน หรือบางคนต้องใช้ผ้าขี้ริ้วแทน ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขอนามัยโดยรวม

สิ่งนี้ทำให้ผู้มีประจำเดือนไม่สามารถดูแลสุขภาพได้เต็มที่เพราะความกังวลเรื่องการเงิน การที่ผ้าอนามัยยังเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ยากสำหรับหลายๆ คน สะท้อนถึงการละเลยจากภาครัฐในการจัดหาสวัสดิการสุขภาพพื้นฐานให้กับประชาชนทุกเพศทุกวัย และยังสะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมในการจัดเก็บภาษีของสินค้าที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน

การรณรงค์และเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิกภาษีผ้าอนามัย

การรณรงค์และเคลื่อนไหวเพื่อยกเลิกภาษีผ้าอนามัย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่ปี 2559 เรื่อยมาจนถึงปี 2565 ได้มีแคมเปญและการเคลื่อนไหวมากมายที่เกิดขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อเรียกร้องการยกเลิกภาษีผ้าอนามัยหรือการลดอัตราภาษีผ้าอนามัย ดังนี้

แคมเปญ Free Periods

หนึ่งในแคมเปญที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ #FreePeriods ที่เริ่มต้นในสหราชอาณาจักรในปี 2559 แคมเปญนี้มุ่งเน้นไปที่กลุ่มนักเรียน โดยเริ่มต้นจากการเดินขบวนประท้วงเพื่อเรียกร้องให้มีการจัดหาผ้าอนามัยฟรีและหยุดการตีตราผู้มีประจำเดือน นอกจากนี้ยังมีการสร้างแฮชแท็กในโซเชียลมีเดีย ซึ่งส่งผลให้เกิดนโยบายงบประมาณสำหรับผ้าอนามัยในโรงเรียนของสหราชอาณาจักร

Save ผ้าอนามัย

ในประเทศไทย ปี 2563 ได้มีแคมเปญ #Saveผ้าอนามัย ที่เริ่มต้นโดยนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อรณรงค์ให้ยกเลิกการเก็บภาษีผ้าอนามัยและสนับสนุนการแจกผ้าอนามัยในสถานศึกษา 

นอกจากนี้ยังมีการยื่นรายชื่อสนับสนุนจำนวน 30,000 รายชื่อไปยัง นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อจากพรรคก้าวไกล เพื่อให้รัฐสภาพิจารณา เมื่อเกิดประเด็นผ้าอนามัยแบบสอดตามมาภายหลัง นายธัญวัจน์ก็ได้ออกมาย้ำถึงความสำคัญของสวัสดิการผ้าอนามัยว่า “ถึงแม้จะไม่มีการขึ้นภาษี แต่ผู้มีประจำเดือนยังคงมีต้นทุนที่เกี่ยวกับเพศที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้อยู่ดี”

ผ้าอนามัยไม่มีภาษี

ในปี 2564 เกิดประเด็นร้อนแรงในประเทศไทยเมื่อราชกิจจานุเบกษาประกาศให้ “ผ้าอนามัยแบบสอด” เป็นเครื่องสำอาง โดยระบุว่าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยที่ใช้เพื่อซับเลือดประจำเดือน ซึ่งการจัดให้ผ้าอนามัยชนิดสอดเป็นเครื่องสำอางจะทำให้ถูกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 30% ทำให้เกิดความกังวลว่าราคาผ้าอนามัยจะสูงขึ้นตามมา ส่งผลให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคม พร้อมแฮชแท็ก #ผ้าอนามัยไม่มีภาษี #ภาษีผ้าอนามัย และ #แจกฟรีไม่ได้รึไง บนโซเชียลมีเดีย

แคมเปญ Don’t Bleed My Purse

#DontBleedMyPurse เป็นแคมเปญในปี 2565 ที่จัดโดย Scora Thailand ซึ่งมุ่งให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาวะและสังคมของผู้มีประจำเดือนในรูปแบบที่เข้าใจง่ายผ่านอินโฟกราฟิกขนาดสั้น พร้อมทั้งจัดงานเสวนาออนไลน์ (Webinar) ร่วมกับกลุ่มต่างๆ ที่กำลังขับเคลื่อนประเด็นนี้ โดยมีเป้าหมายหลักในการยกเลิกภาษีผ้าอนามัยและทำให้ผ้าอนามัยเป็นสินค้าที่เข้าถึงได้ง่ายสำหรับกลุ่มผู้มีประจำเดือน

เปรียบเทียบนโยบายภาษีผ้าอนามัยในหลายประเทศ

เปรียบเทียบนโยบายภาษีผ้าอนามัยในหลายประเทศ

หลายประเทศมีการกำหนดภาษีผ้าอนามัยในอัตราที่แตกต่างจากภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ซึ่งบางประเทศได้จัดผ้าอนามัยเป็นสินค้าพื้นฐานที่ต้องได้รับการยกเว้นภาษี หรือกำหนดอัตราภาษีที่ต่ำกว่าสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น

ประเทศที่เก็บภาษีผ้าอนามัยเท่ากับภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าทั่วไป

  • ฮังการี 27%
  • โครเอเชีย 25%
  • ฟินแลนด์ 24%
  • อาร์เจนตินา 21%
  • แอลเบเนีย 20%
  • บัลแกเรีย 20%
  • ตุรกี 18%
  • จีน 13%
  • ไทย 7%

ประเทศที่เก็บภาษีผ้าอนามัยต่ำกว่าภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าทั่วไป

  • เบลเยียม เก็บภาษีผ้าอนามัยในอัตรา 6% ในขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปคือ 21%
  • เยอรมนี เก็บภาษีผ้าอนามัยในอัตรา 7% ในขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปคือ 19%
  • เวียดนาม เก็บภาษีผ้าอนามัยในอัตรา 5% ในขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปคือ 10%
  • ไซปรัส เก็บภาษีผ้าอนามัยในอัตรา 5% ในขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปคือ 19%
  • เอธิโอเปีย เก็บภาษีผ้าอนามัยในอัตรา 10% ในขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปคือ 15%

 

สรุป

ภาษีผ้าอนามัยคือภาษีที่เก็บจากผ้าอนามัยซึ่งเป็นสินค้าที่จำเป็นสำหรับผู้มีประจำเดือน โดยทั่วไปจะถูกจัดอยู่ในหมวดสินค้าทั่วไปที่มีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เช่นเดียวกับสินค้าอื่นๆ ซึ่งทำให้ราคาผ้าอนามัยสูงขึ้น ปัญหาจาก Pink Tax คือเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายสำหรับผู้มีประจำเดือน สะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศ และยากต่อการเข้าถึงผ้าอนามัยสำหรับบางกลุ่ม

ตัวอย่างแคมเปญยกเลิกภาษีผ้าอนามัย เช่น #FreePeriods ในสหราชอาณาจักร #Saveผ้าอนามัย ในไทย นอกจากนี้เรายังสามารถสนับสนุนสิทธิสตรีและความเท่าเทียมทางเพศผ่านองค์กรและมูลนิธิที่เกี่ยวข้องกับสตรีผ่าน Cheewid ได้อีกด้วย

Reference:

  1. The Active. หลายประเทศ เก็บภาษีผ้าอนามัยต่ำกว่าสินค้าทั่วไป แต่ไทยยังเท่ากัน | The Active. theactive.thaipbs.or.th. Published 7 March 2022. Retrieved 19 February 2025.
  2. ผู้จัดการออนไลน์. “ผ้าอนามัย” ทุกชนิดเป็น “เครื่องสำอาง” ทั้งหมด แต่ออกประกาศเฉพาะ “ชนิดสอด” เพราะหลุดนิยาม กม.. mgronline.com. Published 17 December 2019. Retrieved 19 February 2025.
  3. BBC NEWS ไทย. ภาษีผ้าอนามัย : ผ้าอนามัยเป็นสินค้าที่กระทรวงพาณิชย์ควบคุม แต่ผู้ใช้บางคนบอกว่า “แพง” – BBC News ไทย. bbc.com. Published 17 December 2019. Retrieved 19 February 2025.
  4. ญาทิตา เอราวรรณ. ลดเลิกภาษีผ้าอนามัย?. thairath.co.th. Published 6 September 2023. Retrieved 19 February 2025.
  5. ทิพากร ไชยประสิทธิ์. “ผ้าอนามัย” สินค้าราคาเกินเอื้อม | Thai PBS News ข่าวไทยพีบีเอส. thaipbs.or.th. Published 17 December 2019. Retrieved 19 February 2025.
  6. เอม มฤคทัต. ทำไมต้องจ่ายภาษี แค่เกิดมามีประจำเดือน – ili. ili-co.me. Published 31 July 2021. Retrieved 19 February 2025.
  7. Praewpan Sirilurt. แก้ปัญหา “ความยากจนในช่วงมีประจำเดือน” ผ่านการขับเคลื่อนสวัสดิการของรัฐบาลในหลายประเทศ | SDG Move. sdgmove.com. Published 16 June 2022. Retrieved 19 February 2025.
  8. Chanan Yodhong. #ผ้าอนามัยไม่มีภาษี ผ้าอนามัยต้องเป็นสวัสดิการของรัฐและรัฐต้องไม่หากินกับเมนส์ประชาชน. thematter.co. Published 27 July 2021. Retrieved 19 February 2025.
  9. Naphatsawan Sitthitham. #ผ้าอนามัยไม่มีภาษี ฟรี (ภาษี) ผ้าอนามัยมีที่ประเทศไหนบ้าง? – Mission To The Moon Media. missiontothemoon.co. Published 23 July 2021. Retrieved 19 February 2025.
  10. กชกร พลเยี่ยม. Period Poverty ราคาที่ต้องจ่ายจากการมีประจำเดือน |. workpointtoday.com. Published 2 August 2021. Retrieved 19 February 2025.

องค์กรเพื่อสังคมที่เกี่ยวข้อง

banner - กสศ
logo - กสศ

กสศ. กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

เราสนับสนุนช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา เสริมสร้าง พัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู
logo - มูลนิธิไทยรัฐ

มูลนิธิไทยรัฐ

เราเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมการศึกษา และช่วยเหลือกิจกรรมเกี่ยวกับการศึกษาแก่นักเรียนที่ยากจนและนักเรียนดีเด่นทั่วไป ส่งเสริมการศึกษา และค้นคว้าวิจัยงานหนังสือพิมพ์ร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์เพื่อเด็กๆ

banner - sos เด็กโสสะ

มูลนิธิโสสะแห่งประเทศไทยฯ

เราช่วยเหลือเด็กที่สูญเสียบิดามารดา ขาดญาติมิตร ในรูปแบบของครอบครัวทดแทนถาวรระยะยาว เพื่อให้เด็กสามารถประกอบอาชีพและเลี้ยงดูตัวเองได้ไม่เป็นภาระต่อสังคม